คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8138/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คำขอให้พิจารณาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 208 วรรคสอง ต้องกล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งทั้งเหตุที่ขาดนัดและทั้งข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาล คำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยในข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลนั้นกล่าวไว้เพียงว่า หากจำเลยยื่นคำให้การต่อสู้คดีและนำพยานหลักฐานเข้าสืบหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์แล้ว จำเลยมีโอกาสชนะคดีเนื่องจากโจทก์จำเลยไม่เคยมีมูลหนี้ต่อกันตามที่โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องเท่านั้น กรณีจึงเป็นเพียงการชี้แจงข้อเท็จจริงให้ศาลทราบ มิใช่ข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลชั้นต้นเพราะมิได้โต้แย้งว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบประการใดเพราะเหตุใด และเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีเหตุผลหรือหลักฐานอ้างอิงสนับสนุนให้เห็นได้ชัดแจ้งว่า หากให้มีการพิจารณาใหม่แล้ว ศาลอาจพิจารณาให้ผิดแผกแตกต่างไปจากที่ได้พิจารณาไปแล้ว ซึ่งจะเป็นผลให้จำเลยชนะคดีได้ คำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคสอง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินตามหนังสือรับสภาพหนี้และบันทึกข้อตกลง จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีโจทก์ฝ่ายเดียวและพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 8,669,250 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันที่ 5 พฤศจิกายน 2539 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง (วันที่ 25 พฤศจิกายน 2540) ต้องไม่เกิน 1,371,641 บาท

จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่โดยอ้างว่าเจ้าหน้าที่ได้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง หมายนัดสืบพยานโจทก์และคำบังคับโดยวิธีปิดหมาย ณ บ้านเลขที่ 182/1 ถนนพระราม 6 ตำบลทับเที่ยง อำเภอเมืองตรัง จังหวัดตรัง ซึ่งโจทก์อ้างว่าเป็นภูมิลำเนาของจำเลย เมื่อวันที่ 27พฤศจิกายน 2540 วันที่ 9 มกราคม 2541 และวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2541ตามลำดับ ในช่วงเวลาดังกล่าวจำเลยเพียงแต่มีชื่อระบุอยู่ในสำเนาทะเบียนบ้านที่โจทก์อ้างไว้ในคำฟ้องเท่านั้น ความจริงแล้วจำเลยออกจากบ้านอันเป็นภูมิลำเนาเดิมดังกล่าวซึ่งเป็นบ้านของนายบัณฑิต ธิติประเสริฐ สามีจำเลยมาอยู่ที่บ้านเลขที่ 185 ถนนกันตัง ตำบลทับเที่ยงอำเภอเมืองตรัง จังหวัดตรัง ซึ่งเป็นบ้านของบิดาจำเลยเพราะจำเลยกับนายบัณฑิตตกลงเลิกร้างและแยกกันอยู่ จำเลยเพิ่งมาทราบว่าถูกโจทก์ฟ้องคดีนี้จากนายบรรเจิด เกษมวิชญ์ บิดาจำเลยว่าโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีมายึดทรัพย์ของเครือญาติจำเลยดังกล่าว ทั้งนายบัณฑิตหรือเครือญาตินายบัณฑิตซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ 182/1 ก็ไม่เคยแจ้งให้จำเลยทราบ ทำให้จำเลยไม่ได้ยื่นคำให้การแก้คดี ไม่ได้มาศาลในวันนัดสืบพยานโจทก์ หากจำเลยยื่นคำให้การต่อสู้คดีและนำพยานหลักฐานเข้าสืบหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์แล้ว จำเลยมีโอกาสชนะคดีเพราะโจทก์จำเลยไม่เคยมีมูลหนี้ต่อกัน

โจทก์คัดค้าน ขอให้ยกคำร้อง

ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งยกคำร้อง

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “กรณีเห็นสมควรวินิจฉัยเสียก่อนว่า คำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 208 วรรคสอง หรือไม่ เห็นว่า คำขอให้พิจารณาใหม่นั้นประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคสอง บัญญัติไว้ให้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งเหตุที่คู่ความได้ขาดนัดและข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาล ความหมายก็คือ ต้องกล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งทั้ง 2 ประการ คือ ทั้งเหตุที่ขาดนัดและทั้งข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลด้วย แต่คำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยในข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลนั้น กล่าวไว้เพียงว่า หากจำเลยยื่นคำให้การต่อสู้คดี และนำพยานหลักฐานเข้าสืบหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์แล้ว จำเลยมีโอกาสชนะคดีเนื่องจากโจทก์จำเลยไม่เคยมีมูลหนี้ต่อกันตามที่โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องเท่านั้น กรณีจึงเป็นเพียงการชี้แจงข้อเท็จจริงให้ศาลทราบ มิใช่ข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลชั้นต้น เพราะมิได้โต้แย้งว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบประการใด เพราะเหตุใดและเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีเหตุผลหรือหลักฐานอ้างอิงสนับสนุนให้เห็นได้ชัดแจ้งว่า หากให้มีการพิจารณาใหม่แล้ว ศาลอาจพิจารณาให้ผิดแผกแตกต่างไปจากที่ได้พิจารณาไปแล้ว ซึ่งจะเป็นผลให้จำเลยชนะคดีได้ คำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคสอง ดังกล่าวข้างต้นปัญหาเช่นว่านี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 247กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ว่า จำเลยได้ยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ภายในกำหนดเวลาตามกฎหมายหรือไม่ต่อไป ที่ศาลล่างทั้งสองไม่อนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผลฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share