แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
พ.ร.บ.ล้างมลทินในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระชนมพรรษา 80 พรรษา พ.ศ.2550 มาตรา 4 ที่บัญญัติให้ล้างมลทินให้แก่บรรดาผู้ต้องโทษในกรณีความผิดต่าง ๆ ซึ่งได้กระทำก่อนหรือในวันที่ 5 ธันวาคม 2550 และได้พ้นโทษไปแล้วก่อนหรือในวันที่ 5 ธันวาคม 2550 ซึ่ง พ.ร.บ. ฉบับนี้ใช้บังคับ โดยให้ถือว่าผู้นั้นมิได้เคยถูกลงโทษในกรณีความผิดนั้น ๆ มีผลเพียงให้ถือว่าจำเลยไม่เคยถูกลงโทษจำคุกเท่านั้น มิได้มีผลถึงกับให้ถือว่าความประพฤติของจำเลยที่เป็นเหตุให้ต้องรับโทษจำคุกนั้นถูกล้างไปด้วย
แม้โจทก์จะมิได้บรรยายฟ้องและขอให้บวกโทษในคดีเดิมเข้ากับโทษของจำเลยในคดีนี้ แต่เมื่อจำเลยกระทำความผิดคดีนี้ภายในกำหนดระยะเวลาที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนก็ต้องนำโทษจำคุกที่รอไว้ในคดีก่อนมาบวกเข้ากับโทษในคดีนี้ตาม ป.อ. มาตรา 58 วรรคแรก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 34, 91, 144 พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 64 และริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 64 วรรคหนึ่ง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 144 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานช่วยเหลือคนต่างด้าวให้พ้นจากการจับกุม จำคุก 1 ปี ฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงาน จำคุก 1 ปี รวมจำคุก 2 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานช่วยเหลือคนต่างด้าวให้พ้นการจับกุม จำคุก 6 เดือน ฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงาน จำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 12 เดือน ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่งแล้ว คงจำคุก 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นฉบับลงวันที่ 3 มิถุนายน 2551 ระบุว่าในวันนัดฟังคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นได้แจ้งรายงานการสืบเสาะและพินิจของพนักงานคุมประพฤติให้จำเลยทราบแล้ว จำเลยไม่คัดค้านแต่อย่างใดพร้อมทั้งลงลายมือชื่อไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาดังกล่าวด้วยจึงต้องถือว่าศาลชั้นต้นได้แจ้งข้อความตามรายงานการสืบเสาะและพินิจของพนักงานคุมประพฤติทั้งในส่วนที่เป็นผลดีและผลร้ายให้จำเลยทราบแล้ว และต้องถือว่ารายงานการสืบเสาะและพินิจของพนักงานคุมประพฤติถูกต้องตรงกับความจริง ประกอบกับพระราชบัญญัติวิธีดำเนินการคุมความประพฤติตามประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ.2522 มาตรา 13 บัญญัติว่า “ศาลมีอำนาจที่จะรับฟังรายงานและความเห็นของพนักงานคุมประพฤติตามมาตรา 11 โดยไม่ต้องมีพยานบุคคลประกอบ แต่ถ้าศาลจะใช้รายงานและความเห็นเช่นว่านั้นเป็นผลร้ายแก่จำเลย ให้ศาลแจ้งข้อความที่เป็นผลร้ายนั้นให้จำเลยทราบ เมื่อจำเลยคัดค้าน พนักงานคุมประพฤติมีสิทธินำพยานหลักฐานเข้าสืบประกอบรายงานและความเห็นก่อน และจำเลยมีสิทธิที่จะนำพยานหลักฐานมาสืบหักล้างได้” ดังนี้ ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจหยิบยกเอาข้อความเกี่ยวกับประวัติการกระทำความผิดของจำเลยตามรายงานการสืบเสาะและพินิจดังกล่าวมาเป็นเหตุผลประกอบดุลพินิจในการกำหนดโทษแก่จำเลยได้ แม้จำเลยจะอ้างว่ามีพระราชบัญญัติล้างมลทินในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระชนมพรรษา 80 พรรษา พ.ศ.2550 มาตรา 4 ที่บัญญัติให้ล้างมลทินให้แก่บรรดาผู้ต้องโทษในกรณีความผิดต่าง ๆ ซึ่งได้กระทำก่อนหรือในวันที่ 5 ธันวาคม 25550 และได้พ้นโทษไปแล้วก่อนหรือในวันที่ 5 ธันวาคม 2550 ซึ่งพระราชบัญญัติฉบับนี้ใช้บังคับ โดยให้ถือว่าผู้นั้นมิได้เคยถูกลงโทษในกรณีความผิดนั้น ๆ ก็ตาม แต่ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวมีผลเพียงให้ถือว่า จำเลยไม่เคยถูกลงโทษจำคุกเท่านั้น มิได้มีผลถึงกับให้ถือว่าความประพฤติของจำเลยที่เป็นเหตุให้ต้องรับโทษจำคุกนั้นถูกลบล้างไปด้วย เมื่อจำเลยกลับมากระทำความผิดคดีนี้อีก นับว่าจำเลยมีลักษณะเป็นผู้กระทำความผิดติดนิสัย ไม่สำนึกหรือเกรงกลัวต่อโทษที่กำหนดไว้ในกฎหมาย พฤติการณ์แห่งคดีจึงไม่มีเหตุอันสมควรที่จะรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น อย่างไรก็ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58 วรรคแรกบัญญัติว่า “เมื่อความปรากฏแก่ศาลเอง หรือความปรากฏตามคำแถลงของโจทก์หรือเจ้าพนักงานว่าภายในเวลาที่ศาลกำหนดตามมาตรา 56 ผู้ที่ถูกศาลพิพากษาได้กระทำความผิดอันมิใช่ความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ และศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุกสำหรับความผิดนั้น ให้ศาลที่พิพากษาคดีหลังกำหนดโทษที่รอการกำหนดไว้ในคดีก่อนบวกเข้ากับโทษในคดีหลังหรือบวกโทษที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนเข้ากับโทษในคดีหลังแล้วแต่กรณี” เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงตามรายงานการสืบเสาะและพินิจซึ่งศาลชั้นต้นได้อ่านให้จำเลยฟังตามพระราชบัญญัติวิธีดำเนินการคุมความประพฤติตามประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ.2522 มาตรา 13 แล้ว จำเลยไม่คัดค้านเป็นการยอมรับข้อเท็จจริงตามรายงานนั้นว่า จำเลยมากระทำความผิดคดีนี้อีกภายในกำหนดระยะเวลาที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อน ก็ต้องนำโทษจำคุกที่รอไว้ในคดีก่อนมาบวกเข้ากับโทษในคดีนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58 วรรคแรก แม้โจทก์จะมิได้บรรยายฟ้องและขอให้บวกโทษในคดีดังกล่าวเข้ากับโทษของจำเลยในคดีนี้ก็ตาม ที่ศาลล่างทั้งสองมิได้นำโทษจำคุกของจำเลยที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนมาบวกเข้ากับโทษของจำเลยในคดีนี้ จึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติของกฎหมาย กรณีนี้มิใช่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ และไม่ใช่เป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลยเพราะกฎหมายบัญญัติให้ศาลที่พิพากษาคดีหลังบวกโทษที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนเข้ากับโทษในคดีหลังด้วยเสมอ”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้นำโทษจำคุก 1 ปี ของจำเลยที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2853/2550 ของศาลจังหวัดพระโขนง และโทษจำคุก 3 เดือน ของจำเลยที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1685/2550 ของศาลจังหวัดสระแก้ว บวกเข้ากับโทษจำคุกของจำเลยในคดีนี้ รวมลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 1 ปี 9 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3