คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 812/2533

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

บิดาโจทก์ยกกรรมสิทธิ์ในที่ดินซึ่งเป็นสินสมรสของบิดาโจทก์กับผู้ตายเฉพาะส่วนของตนให้แก่โจทก์ไปแล้ว ถือได้ว่าบิดาโจทก์กับผู้ตายได้ตกลงแบ่งที่ดินทั้งแปลงดังกล่าวออกเป็นของแต่ละฝ่ายย่อมทำให้ที่ดินในส่วนที่เหลือหมดสภาพจากการเป็นสินสมรสและตกเป็นสินส่วนตัวของผู้ตาย ส่วนบ้านนั้นบิดาโจทก์ได้ทำพินัยกรรมยกส่วนของตนครึ่งหนึ่งให้โจทก์แล้วเช่นกัน ส่วนที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งจึงตกเป็นของผู้ตายแต่ผู้เดียว การให้บ้านพิพาทซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์แก่ผู้รับจะสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525 ต่อเมื่อได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ การที่ผู้ตายได้ยื่นคำขอจดทะเบียนนิติกรรมยกบ้านพิพาทในส่วนของตนให้แก่โจทก์แต่พนักงานเจ้าหน้าที่ยังไม่ได้จดทะเบียนนิติกรรมให้ การให้ดังกล่าวจึงยังไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย กรรมสิทธิ์ในบ้านพิพาทส่วนที่เป็นของผู้ตายยังคงเป็นของผู้ตาย เมื่อผู้ตายถึงแก่ความตาย ทรัพย์สินของผู้ตายย่อมเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาท กรณีนี้ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิที่จะบังคับให้จดทะเบียนสิทธิได้ก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 โจทก์ไม่ได้เป็นทายาท ไม่มีส่วนได้เสียในกองมรดก ย่อมไม่มีอำนาจขอให้เพิกถอนนิติกรรมที่ผู้จัดการมรดกโอนที่ดินพิพาทและครึ่งหนึ่งของบ้านพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายให้บุคคลอื่นได้ เครื่องทองรูปพรรณ เครื่องเพชร แหวน เข็มขัดนาก และเครื่องประดับอื่น ๆ ตามฟ้องเป็นเครื่องประดับกายซึ่งรวมกันแล้วมีราคาไม่มากเมื่อพิจารณาตามฐานะและรายได้ของบิดาโจทก์และผู้ตายแล้ว เป็นเครื่องประดับกายตามควรแก่ฐานะของผู้ตายแม้ผู้ตายได้มาโดยบิดาโจทก์เป็นผู้หามาให้หรือผู้ตายหาเองในระหว่าสมรสก็ตามก็เป็นสินส่วนตัวของผู้ตาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบุตรนายชวน และนางเชื้อ กฤษณวรรณนายชวนบิดาโจทก์มีภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 พ.ศ. 2478 รวมด้วยกัน 3 คนคือนางเชื้อมารดาโจทก์ นางเกื้อและนางละมัย กฤษณวรรณหลังจากนางเชื้อ และนางเกื้อตายแล้ว นายชวนได้อยู่กินกับนางละมัยต่อมาโดยมีสินสมรสร่วมกันคือ ก. ที่ดินโฉนดเลขที่1038 ตำบลบางยี่เรือ (แขวงบางยี่เรือ) อำเภอบางกอกใหญ่(เขตธนบุรี) กรุงเทพมหานคร ราคาประมาณ 350,000 บาท ข.กรรมสิทธิ์ครึ่งหนึ่งในบ้านเลขที่ 370 ตรอกโรงเจ เฉพาะส่วนที่ตั้งอยู่ในโฉนดเลขที่ 1038 ราคาประมาณ 30,000 บาท ค. บัญชีเงินฝากประจำธนาคารออมสิน สาขาตลาดพลู จำนวน 193,985.40 บาทและบัญชีเงินฝากเผื่อเรียก ธนาคารออมสิน สาขาตลาดพลู จำนวนเงิน46,978.20 บาท และดอกผลของต้นเงินทั้งสองประเภท นับตั้งแต่วันที่ 8 เมษายน 2526 ถึงวันฟ้องเป็นเงินทั้งสิ้น 10,932.48 บาทรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 251,896.08 บาท ง. เครื่องทองรูปพรรณเครื่องเพชร และเครื่องประดับอื่น ๆ รวมราคาประมาณ 67,210 บาทจ. ค่าเช่าที่ดินโฉนดเลขที่ 1038 ที่ปลูกเรือนแถวไม้ 2 ห้อง ห้องละ300 บาทต่อเดือน นับแต่เดือนพฤษภาคม 2526 ถึงวันฟ้องเป็นเงิน3,600 บาท ฉ. โทรทัศน์ขาวดำยี่ห้อโตชิบา ขนาด 12 นิ้ว 1 เครื่องราคาประมาณ 2,000 บาท รวมราคาทรัพย์สินทั้งสิ้นเป็นจำนวนเงิน704,706.08 บาท เมื่อนายชวนบิดาโจทก์ถึงแก่กรรมนางละมัยได้ไปยื่นคำร้องขอทำนิติกรรมจดทะเบียนสิทธิประเภทให้เฉพาะส่วนบ้านเลขที่ 370 ให้แก่โจทก์ ณ ที่ว่าการเขตธนบุรี แต่ยังมิได้จัดการโอนให้เรียบร้อย นางละมัยถึงแก่กรรมไปก่อน จำเลยที่ 1ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการมรดกของนางละมัย กฤษณวรรณ ตามคำสั่งของศาลแพ่งธนบุรี ส่วนโจทก์ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการมรดกของนายชวน กฤษณวรรณ ตามคำสั่งศาลแพ่งธนบุรี หลังจากนางละมัยตายแล้ว จำเลยที่ 2 ได้นำบัญชีเงินฝากและทรัพย์สิ่งของตามข้อ ง. ไปเก็บรักษาไว้ และเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2526 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้สมคบกันไปทำการจดทะเบียนซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 1038 พร้อมบ้านเฉพาะส่วนตามข้อ ข. ด้วยเจตนาอำพรางเพื่อฉ้อฉลโจทก์ จึงตกเป็นโมฆะ โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกจึงมีสิทธิเรียกเอาทรัพย์สินดังกล่าวจำนวนครึ่งหนึ่งมารวมเป็นกองมรดกของนายชวน กฤษณวรรณ เพื่อแบ่งแก่ทายาทต่อไป สำหรับบ้านเฉพาะส่วนตามข้อ ข. ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์แล้ว โจทก์จึงมีสิทธิเรียกให้จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกไปทำการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์ได้เพราะโจทก์อยู่ในฐานะผู้มีสิทธิจดทะเบียนได้ก่อนบุคคลอื่น จำเลยทั้งสองจึงต้องร่วมกันรับผิดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เป็นดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ของจำนวนราคาครึ่งหนึ่งของสินสมรสในจำนวนเงิน 357,353.04 บาท ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 1038 โดยให้จำเลยทั้งสองไปแก้ไขโอนใส่ชื่อโจทก์ถือกรรมสิทธิ์ร่วมครึ่งหนึ่งหากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเขตนาของจำเลยทั้งสองแทนด้วย ให้จำเลยที่ 1ไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์บ้านเลขที่ 370 (เฉพาะส่วน) ให้แก่โจทก์ ให้ส่งมอบทรัพย์สินคือ เครื่องทองรูปพรรณ เครื่องเพชรและเครื่องประดับตามคำฟ้องให้โจทก์ทั้งหมด ให้ส่งเงินสดกึ่งหนึ่งของต้นเงิน 240,963.60 บาท เป็นเงิน 120,481.80 บาท พร้อมดอกเบี้ยทั้งสิ้น 5,466.24 บาท และค่าเช่าที่ดินโฉนดเลขที่ 1038กึ่งหนึ่ง เป็นเงิน 1,800 บาท ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ในจำนวนมูลค่าทรัพย์สินและดอกผลที่จำเลยจะต้องส่งมอบให้โจทก์นับแต่วันฟ้องเป็นเงิน 357,353.04 บาท ในอัตราร้อยละ 15ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองจะได้ส่งมอบทรัพย์สินให้โจทก์เสร็จ จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะไม่ใช่เป็นผู้มีส่วนได้เสีย จำเลยที่ 1 เป็นทายาทโดยธรรมของนางละมัย กฤษณวรรณ ซึ่งตายไปโดยมิได้ทำพินัยกรรมไว้และไม่มีทายาทคนอื่นนอกจากจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นน้อง และนางประยงค์ กลั่นสกุล ซึ่งเป็นพี่ของนางละมัยผู้ตาย ระหว่างที่นายชวนและนางละมัย กฤษณวรรณ เป็นสามีภรรยากัน นางละมัยได้ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 1038 พร้อมบ้านเลขที่ 370 ซึ่งปลูกบนที่ดินดังกล่าวโดยออกเงินซึ่งเป็นทรัพย์สินส่วนตัวแต่ผู้เดียว และได้ให้นายชวน กฤษณวรรณ ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน ต่อมานายชวนได้โอนกรรมสิทธิ์เฉพาะส่วนของตนโดยไม่มีค่าตอบแทนให้โจทก์ เมื่อวันที่ 1มิถุนายน 2521 โจทก์ได้แบ่งแยกเป็นโฉนดเลขที่ 18788 ที่ดินโฉนดเลขที่ 1038 ส่วนที่เหลือพร้อมบ้านเลขที่ 370 ดังกล่าวจึงเป็นสินส่วนตัวของนางละมัย กฤษณวรรณแต่ผู้เดียว นางละมัยไม่เคยไปยื่นคำร้องเพื่อขอทำนิติกรรมจดทะเบียนสิทธิประเภทให้เฉพาะส่วนบ้านเลขที่ 370 แก่โจทก์ เงินตามบัญชีเงินฝากประจำธนาคารออมสินและบัญชีเงินฝากเผื่อเรียกในธนาคารเดียวกันเป็นสินส่วนตัวของนางละมัย ส่วนเครื่องทองรูปพรรณ เครื่องเพชรและเครื่องประดับอื่น ๆ ก็เป็นสินส่วนตัวของนางละมัย เพราะได้เอาเงินสินส่วนตัวซื้อ สำหรับโทรทัศน์ขาวดำขนาด 12 นิ้ว ราคาไม่เกิน 300 บาทโจทก์ได้เอาไปเมื่อนางละมัยถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 1 ในฐานะทายาทโดยธรรมและเป็นผู้จัดการมรดกของนางละมัยได้โอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 1038 พร้อมบ้านเลขที่ 370 ให้จำเลยที่ 2 โดยสุจริตและมีค่าตอบแทนในราคา 50,000 บาท เมื่อจำเลยที่ 2 รับโอนแล้วได้บอกกล่าวให้โจทก์ขนย้ายทรัพย์สินออกไป เมื่อโจทก์ไม่ยอมออกจำเลยที่ 2 ได้ยื่นฟ้องขับไล่โจทก์ต่อศาลแพ่งธนบุรี ส่วนค่าเช่าที่ดินสำหรับเรือนแถวไม้ 2 ห้อง เมื่อกรรมสิทธิ์ในที่ดินโอนมายังจำเลยที่ 2 แล้วจึงตกเป็นของจำเลยที่ 2 โจทก์ไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 1038 และให้จำเลยที่ 1 ไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์บ้านเลขที่ 370 รวมทั้งให้จำเลยทั้งสองส่งเงินและทรัพย์สินตามฟ้องให้แก่โจทก์ เพราะโจทก์ไม่ใช่เป็นผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์สินส่วนตัวของนางละมัย ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 1038 โดยให้จำเลยทั้งสองไปแก้ไขโอนใส่ชื่อโจทก์ถือกรรมสิทธิ์ร่วมครึ่งหนึ่งและจดทะเบียนให้กลับสู่สภาพเดิม หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษานี้เป็นการแสดงเจตนาแทนให้จำเลยที่ 1 ไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์บ้านเลขที่ 370 เฉพาะส่วนซึ่งตั้งอยู่บนโฉนดที่ดินเลขที่ 1038 ตำบลบางยี่เรือ ให้แก่โจทก์ ให้จำเลยทั้งสองส่งมอบเครื่องทองรูปพรรณ เครื่องเพชร และเครื่องประดับตามคำฟ้อง ข้อ ง. ให้โจทก์ทั้งหมด ให้จำเลยที่ 1 ส่งเงินสด 102,481.80บาท พร้อมดอกเบี้ยอีก 5,466.24 บาท ให้จำเลยที่ 2 นำเงินค่าเช่าที่ดินโฉนดเลขที่ 1038 ดังกล่าวข้างต้นทั้งหมด ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม2526 เดือนละ 600 บาท ตลอดเวลาที่จำเลยที่ 2 ได้เก็บจากผู้เช่ามาคืนให้โจทก์ รวมเป็นเงินถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 1,800 บาทให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เป็นดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีของยอดเงิน 357,353.04 บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะได้ส่งมอบทรัพย์สินให้โจทก์เสร็จจำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์จำเลยนำสืบตรงกันฟังได้ว่า นายชวน กฤษณวรรณ บิดาโจทก์มีภรรยาก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 พ.ศ. 2478 รวม 3 คน คือนางเชื้อมารดาโจทก์ นางเกื้อและนางละมัย นางเชื้อกับนางเกื้อถึงแก่กรรมก่อนนายชวน นายชวนมีบุตรกับนางเชื้อและนางเกื้อรวม 8 คน ไม่มีบุตรกับนางละมัยระหว่างอยู่กินกันเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2493 นายชวน นางละมัยได้รับโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 1038 ตำบลบางยี่เรือ (แขวงบางยี่เรือ) อำเภอบางกอกใหญ่ (เขตธนบุรี) กรุงเทพมหานคร จากนางบุญหลง ภาสบุตรต่อมาวันที่ 1 มิถุนายน 2521 นายชวนได้ให้ที่ดินดังกล่าวเฉพาะส่วนของตนแก่โจทก์ วันที่ 9 มิถุนายน 2521 นางละมัยได้ให้นายชนะกฤษณวรรณถือกรรมสิทธิ์รวมในส่วนของตน และวันที่ 20 ธันวาคม2521 เจ้าพนักงานที่ดินได้แยกโฉนดที่ดินให้เป็นของโจทก์เนื้อที่ 48 ตารางวา เป็นของนายชนะเนื้อที่ 31 ตารางวาส่วนนางละมัยถือโฉนดเดิมเหลือเนื้อที่ 61 ตารางวา นายชวนอยู่กับนางละมัยจนนายชวนถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2525นางละมัยถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2526 ก่อนนางละมัยถึงแก่กรรมคือวันที่ 6 เมษายน 2526 จำเลยที่ 2 และนางประยงค์กลั่นสกุล มารดาจำเลยที่ 2 ได้สำรวจทรัพย์สินของนางละมัยประมาณ20 รายการ และรับไปปรากฏตามเอกสารหมาย จ.10 โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนายชวน ส่วนจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของนางละมัย นางละมัยเป็นพี่จำเลยที่ 1 และเป็นน้องนางประยงค์คงมีปัญหาในชั้นฎีกาว่า
1. ที่ดินโฉนดเลขที่ 1038 ตำบลบางยี่เรือ (แขวงบางยี่เรือ)อำเภอบางกอกใหญ่ (เขตธนบุรี) กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ 61 ตารางวาและครึ่งหนึ่งของบ้านเลขที่ 370 บนที่ดินดังกล่าวซึ่งเหลือจากการที่นายชวนยกให้โจทก์แล้วเป็นสินสมรสของนายชวนกับนางละมัยหรือไม่
2. การที่นางละมัยไปยื่นคำขอจดทะเบียนนิติกรรมให้บ้านดังกล่าวครึ่งหนึ่งในส่วนของตนแก่โจทก์ที่สำนักงานที่ดินเขตธนบุรีไว้แล้วก่อให้เกิดสิทธิแก่โจทก์เป็นบุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้ก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1300 หรือไม่
3. โจทก์ขอเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทและครึ่งหนึ่งของบ้านพิพาทในส่วนที่เหลือจากที่นายชวนยกให้โจทก์แล้วได้หรือไม่
4. เครื่องทองรูปพรรณ เครื่องเพชร เครื่องประดับอื่น ๆ เงินฝากในธนาคารออมสิน สาขาตลาดพลู ตามฟ้อง และค่าเช่าที่ดินพิพาทเดือนละ 600 บาท เป็นสินสมรสของนายชวนกับนางละมัยหรือไม่
ปัญหาตามข้อ 1 เห็นว่า นายชวนได้ยกกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 1038 ตำบลบางยี่เรือ (แขวงบางยี่เรือ) อำเภอบางกอกใหญ่(เขตธนบุรี) กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นสินสมรสของนายชวนกับนางละมัยเฉพาะส่วนของนายชวนให้แก่โจทก์ไปแล้ว ถือได้ว่านายชวนกับนางละมัยได้ตกลงแบ่งที่ดินทั้งแปลงดังกล่าวออกเป็นของแต่ละฝ่าย ย่อมทำให้ที่ดินในส่วนที่เหลือหมดสภาพจากการเป็นสินสมรสและตกเป็นสินส่วนตัวของนางละมัย ส่วนบ้านเลขที่ 370 นั้นนายชวนได้ทำพินัยกรรมยกส่วนของตนครึ่งหนึ่งให้โจทก์แล้วเช่นกันส่วนที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งจึงตกเป็นของนางละมัยแต่ผู้เดียว
ปัญหาตามข้อ 2 เห็นว่า การให้อสังหาริมทรัพย์แก่ผู้รับนั้นจะสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525 ก็ต่อเมื่อได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ บ้านพิพาทเป็นอสังหาริมทรัพย์ เมื่อทางพนักงานเจ้าหน้าที่ยังไม่ได้จดทะเบียนนิติกรรมการให้ดังกล่าวยังไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย กรรมสิทธิ์ในบ้านส่วนที่เป็นของนางละมัยยังคงเป็นของนางละมัย เมื่อนางละมัยถึงแก่กรรม ทรัพย์สินของนางละมัยก็เป็นมรดกตกทอดแก่ทายาทกรณีนี้ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิที่จะบังคับให้จดทะเบียนสิทธิได้ก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1278/2527 ระหว่าง ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัดโจทก์ นางเยาว์ แซ่เบ๊หรืออมร ธีระสวัสดิ์ ผู้ร้อง นายออ แซ่อึ้ง กับพวก จำเลย ส่วนคำพิพากษาฎีกาที่โจทก์อ้างมาในฎีกาของโจทก์นั้น ข้อเท็จจริงต่างกับคดีนี้
ปัญหาตามข้อ 3 เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงตามที่ได้วินิจฉัยแล้วฟังได้ว่าที่ดินพิพาทและครึ่งหนึ่งของบ้านพิพาทในส่วนที่เหลือจากที่นายชวนยกให้โจทก์แล้วเป็นมรดกของนางละมัย โจทก์ไม่ได้เป็นทายาทไม่มีส่วนได้เสียในกองมรดกดังกล่าว ก็ย่อมไม่มีอำนาจขอให้เพิกถอนนิติกรรมที่ผู้จัดการมรดกโอนทรัพย์สินในส่วนนี้ให้บุคคลอื่นได้
ปัญหาข้อ 4 เห็นว่า เครื่องทองรูปพรรณ เครื่องเพชร และเครื่องประดับอื่น ๆ ตามฟ้อง คือสร้อยคอ สร้อยข้อมือ แหวนเข็มขัดนาก เป็นเครื่องประดับกายซึ่งรวมกันแล้วมีราคาไม่มากนักเมื่อพิจารณาตามฐานะและรายได้ของบิดาโจทก์และนางละมัยแล้วเครื่องประดับกายดังกล่าวเป็นเครื่องประดับกายตามควรแก่ฐานะของนางละมัย แม้นางละมัยได้มาโดยบิดาโจทก์เป็นผู้หามาให้หรือนางละมัยหามาเองในระหว่างสมรสก็ตามก็เป็นสินส่วนตัวของนางละมัย ส่วนเงินฝากในธนาคารออมสิน สาขาตลาดพลูทั้งสองบัญชีมีชื่อนางละมัยเป็นเจ้าของทั้งก่อนนางละมัยถึงแก่กรรมฝ่ายจำเลยได้สำรวจทรัพย์สินของนางละมัยแล้วทำบันทึกเกี่ยวกับทรัพย์สินของนางละมัยไว้ตามเอกสารหมาย จ.10 โจทก์ซึ่งรู้เห็นการทำบันทึกฉบับดังกล่าวและร่วมลงชื่อไว้ในฐานะพยานก็ไม่ได้คัดค้านหรือโต้แย้งว่าทรัพย์ดังกล่าวทั้งหมดเป็นสินสมรสของนายชวนกับนางละมัย นอกจากนี้หลังจากนายชวนถึงแก่กรรมแล้วโจทก์ไม่เคยเรียกร้องขอแบ่งทรัพย์ดังกล่าวจากนางละมัยจนนางละมัยถึงแก่กรรมหลังนายชวน 1 ปีเศษ จึงน่าเชื่อว่าทรัพย์สินตามเอกสารหมาย จ.10 ซึ่งมีเงินฝากในธนาคารออมสิน สาขาตลาดพลูรวมอยู่ด้วยเป็นสินส่วนตัวของนางละมัย สำหรับค่าเช่าที่ดินพิพาทนั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์สินของนางละมัย ดังนั้นเงินรายได้จากค่าเช่าที่ดินพิพาทจึงเป็นของนางละมัยไม่ได้เป็นมรดกของนายชวนศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหามาชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share