แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ทรัพย์สินที่จะได้รับยกเว้นภาษีโรงเรือนและที่ดินนั้นได้แก่ทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.บ.ภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 โรงเรียนของโจทก์เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการเรียนจากนักเรียนตามอัตราที่ได้รับอนุญาตตาม พ.ร.บ.โรงเรีอนเอกชน พ.ศ. 2525 และค่าธรรมเนียมอื่นได้แก่ ค่าอุปกรณ์ ค่าอาหาร ค่าซักฟอก ค่าบำรุงสมาชิกยุวกาชาด เนตรนารี หนังสือ สมุด ค่าประกันอุบัติเหตุ และค่าเรียนคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ยังได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลในอัตราร้อยละ 40 ของจำนวนนักเรียน เงินที่ได้รับมาทั้งหมดนำไปใช้ในกิจการของโรงเรียนของโจทก์ จ้างครูมาสอน พัฒนาขยายโรงเรียน หากปีใดไม่ต้องซ่อมแซมหรือสร้างอาคารและมีเงินเหลือก็จะส่งให้โจทก์ ย่อมเป็นข้อชี้แสดงว่าโรงเรียนของโจทก์เป็นโรงเรียนเอกชนที่กระทำกิจการเพื่อเป็นผลกำไรส่วนบุคคล โรงเรือนและที่ดินจึงไม่ใช่ทรัพย์ของโรงเรียนสาธารณะซึ่งกระทำกิจการอันมิใช่เพื่อเป็นผลกำไรส่วนบุคคล และใช้เฉพาะในการศึกษาอันไม่ต้องเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินตาม พ.ร.บ.ภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 มาตรา 9 (3)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินประจำปีภาษี 2535 ถึง 2543 ของจำเลยที่ 1 ที่ประเมินเรียกเก็บต่อโจทก์หรือโรงเรียนมารดานฤมล ตามใบแจ้งรายการประเมินตามมาตรา 24 แห่ง พ.ร.บ.ภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 (ภ.ร.ด. 8) เล่มที่ 1 เลขที่ 48 ถึง 56 จำนวน 9 ฉบับ ลงวันที่ 13 มิถุนายน 2543 และเพิกถอนคำวินิจฉัยชี้ขาดของจำเลยที่ 2 ต่อโจทก์หรือโรงเรียนมารดานฤมล ตามใบแจ้งคำชี้ขาดตามมาตรา 30 (ภ.ร.ด. 11) เล่มที่ 1 เลขที่ 10 ลงวันที่ 4 กรกฎาคม 2544 กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินพร้อมทั้งเงินเพิ่มจำนวน 6,547,128 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าว นับแต่วันที่โจทก์ได้ชำระแก่จำเลยทั้งสอง (วันที่ 9 สิงหาคม 2544) จนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินประจำปีภาษี 2535 ถึง 2543 ตามใบแจ้งรายการประเมิน (ภ.ร.ด. 8) เล่มที่ 1 เลขที่ 48 ถึง 56 ลงวันที่ 13 มิถุนายน 2543 และหนังสือใบแจ้งคำชี้ขาดตามมาตรา 30 (ภ.ร.ด. 11) เล่มที่ 1 เลขที่ 10 ลงวันที่ 4 กรกฎาคม 2544 ให้จำเลยที่ 1 คืนเงินค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินพร้อมเงินเพิ่มจำนวน 6,547,128 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันที่โจทก์ชำระเงินแก่จำเลยที่ 1 (9 สิงหาคม 2544) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 20,000 บาท ส่วนจำเลยที่ 2 ให้ยกฟ้อง และค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ข้อแรกว่า โรงเรียนมารดานฤมลของโจทก์อยู่ในข่ายที่จะต้องเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินหรือไม่ เห็นว่า ทรัพย์สินที่จะได้รับยกเว้นภาษีโรงเรือนและที่ดินนั้นได้แก่ทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.บ.ภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 จะเห็นได้ว่าทรัพย์สินของโรงเรียนที่ได้รับยกเว้นภาษีโรงเรือนและที่ดินจะต้องเป็นโรงเรียนสาธารณะซึ่งกระทำกิจการอันมิใช่เพื่อเป็นผลกำไรส่วนบุคคลและต้องใช้เฉพาะในการศึกษาเท่านั้น เมื่อโรงเรียนมารดานฤมลได้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการเรียนจากนักเรียนตามอัตราที่ได้รับอนุญาตตาม พ.ร.บ.โรงเรียนเอกชน พ.ศ. 2525 และค่าธรรมเนียมอื่นอันได้แก่ ค่าอุปกรณ์ ค่าอาหาร ค่าซักฟอกอนุบาล ค่าบำรุงสมาชิกยุวกาชาด เนตรนารี หนังสือ สมุด ค่าประกันอุบัติเหตุ และค่าเรียนคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ยังได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลในอัตราร้อยละ 40 ของจำนวนนักเรียน ซึ่งมีนักเรียนตั้งแต่ชั้นอนุบาลถึงมัธยมศึกษา 2,794 คน เงินที่ได้รับมาทั้งหมดนำไปใช้ในกิจการของโรงเรียน จ้างครูมาสอนพัฒนาขยายโรงเรียน หากปีใดไม่ต้องซ่อมแซมหรือสร้างอาคารและมีเงินเหลือก็จะส่งให้โจทก์ ย่อมเป็นข้อชี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าโรงเรียนมารดานฤมลของโจทก์เป็นโรงเรียนเอกชนที่กระทำกิจการเพื่อเป็นผลกำไรส่วนบุคคลโรงเรือนและที่ดินดังกล่าว จึงไม่ใช่ทรัพย์สินของโรงเรียนสาธารณะ ซึ่งกระทำกิจการอันมิใช่เพื่อเป็นผลกำไรส่วนบุคคล และใช้เฉพาะในการศึกษาอันไม่ต้องเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินตาม พ.ร.บ.ภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 มาตรา 9 (3) ที่ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยว่า โรงเรียนมารดานฤมลเป็นโรงเรียนสาธารณะไม่ต้องเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินนั้น ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์ชำระค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินประจำปีภาษี 2535 ถึง 2543 ปีละ 11,250 บาท รวมเป็นเงิน 101,250 บาท พร้อมเงินเพิ่มตามกฎหมาย แต่โจทก์ชำระให้จำเลยที่ 1 ไปแล้ว 6,547,128 บาท จำเลยที่ 1 ต้องคืนเงินส่วนที่เกินไปแก่โจทก์ ภายใน 3 เดือน นับแต่วันที่อ่านคำพิพากษานี้ ถ้าไม่คืนในกำหนดดังกล่าวให้ชำระดอกเบี้ยให้โจทก์นับแต่วันครบกำหนด 3 เดือน ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ.