คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 81/2492

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คู่ความท้าอ้างนายกอนพะยานปากเดียว คำท้ามีดังนี้ “ถ้านายกอน ให้การว่าโจทก์ปกครองที่ดินและเรือนรายพิพาทมากว่า 10 ปีแล้ว จำเลยยอมให้โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินและเรือนรายพิพาททั้งหมด ถ้านายกอน ให้การว่าโจทก์ปกครองเรือนและที่ดินมาไม่กว่า 10 ปีแล้ว โจทก์ยอมยกที่ดินและเรือนให้จำเลยทั้งหมด” และนายกอนให้การได้ความว่าเดิมที่ดินบ้านเรือนเป็นของบิดามารดาโจทก์ เมื่อบิดามารดาโจทก์ตายแล้ว โจทก์จำเลยอยู่ในที่รายนี้ จำเลยเพิ่งออกจากบ้านไป 6 ปี ดังนี้ แสดงว่าตอนแรกโจทก์ปกครอง จึงสมข้างจำเลย จำเลยย่อมชนะคดี ตามคำท้า./

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินของนายบางบิดาจำเลย มีบ้านปลูก ๑ หลัง นายบางกับโจทก์ครอบครองที่ดินบ้านเรือนนี้ร่วมกันครบเมื่อ ๑๔ ปีมาแล้ว นายบางตาย โจทก์ครอบครองต่อมารวมเป็นเวลา ๒๓ ปี ขอห้ามไม่ให้จำเลยเกี่ยวข้อง จำเลยให้การว่า ที่ดินบ้านเรือนรายนี้ นายบางนางตาบิดามารดาจำเลยครอบครองอยู่จนบัดนี้ โจทก์เป็นผู้อาศัย
คู่ความท้าอ้างนายกอน พะยานปากเดียว มีคำท้าดังนี้ “ถ้านายกอน ให้การว่าโจทก์ปกครองที่ดินและเรือนรายพิพาทมา ๑๐ ปีแล้ว จำเลยยอมให้โจทก์ได้กรรมสิทธิที่ดินและเรือนรายพิพาททั้งหมด ถ้านายกอน ให้การว่า โจทก์ปกครองเรือนและที่ดินมาไม่กว่า ๑๐ ปีแล้ว โจทก์ยอมยกที่ดินและเรือนให้จำเลยทั้งหมด”
ศาลชั้นต้นฟังว่า คำเบิกความของนายกอนสมโจทก์พิพากษาให้จำเลยแพ้ ศาลอุทธรณ์ฟังว่า คำนายกอนสมจำเลยพิพากษากลับ ให้โจทก์แพ้
โจทก์ฎีกา,
ศาลฎีกาฟังว่า ที่ดินบ้านเรือนเป็นของนายบาง นายบางตายโดยปกติจำเลยผู้เป็นทายาท ก็เป็นเจ้าของที่ดินบ้านเรือนสืบมา จำเลยเป็นผู้ครอบครอง ส่วนโจทก์ซึ่งอยู่ร่วมกับจำเลยหาใช่ผู้ครอบครองไม่ ต่อมาจำเลยไปเสียจากที่ดินบ้านเรือนคงอยู่แต่โจทก์ ตอนนี้มีระยะเวลาเพียง ๖ ปี ไม่ถึง ๑๐ ปี คำเบิกความของนายกอนเกี่ยวกับการครอบครอง มีดังนี้ ต้องฟังว่าโจทก์ครอบครองที่ดินบ้านเรือนรายนี้ไม่ถึง ๑๐ ปี สมข้างจำเลย.
พิพากษายืน./

Share