คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8093/2560

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์กำหนดอัตราค่านั่งเครื่องของพนักงานแคชเชียร์ในอัตราเดือนละ ๕๐๐ บาทต่อคน เท่ากันทุกเดือน โดยมีหลักเกณฑ์ว่าหากพนักงานแคชเชียร์มีความประพฤติไม่ดี ทำความผิดหรือทำงานมีข้อผิดพลาดก็จะหักคะแนนและนำไปปรับลดเงินค่านั่งเครื่องตามหลักเกณฑ์ของโจทก์ ในบางเดือนอาจมีพนักงานแคชเชียร์บางคนไม่ได้รับค่านั่งเครื่องเลย แต่การจ่ายค่านั่งเครื่องให้จริงเป็นจำนวนมากน้อยหรือไม่จ่ายค่านั่งเครื่องเลยย่อมขึ้นอยู่กับการประเมินผลในเรื่องความประพฤติปฏิบัติตนและความตั้งใจในการทำงาน การจ่ายค่านั่งเครื่องดังกล่าวจึงเป็นการจ่ายให้เพื่อส่งเสริมให้พนักงานแคชเชียร์ตั้งใจทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความประพฤติที่ดี ลดข้อผิดพลาดในการทำงานให้น้อยลง และกระตุ้นให้พนักงานตั้งใจทำงานเป็นสำคัญ ไม่ได้มีลักษณะเป็นการตอบแทนในการทำงานในวันและเวลาทำงานปกติตามความหมายของคำว่าค่าจ้างตามมาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ.2533 ค่านั่งเครื่องแคชเชียร์ของพนักงานแคชเชียร์จึงไม่ใช่ค่าจ้าง โจทก์ไม่ต้องนำค่านั่งเครื่องดังกล่าวมาคำนวณเป็นเงินสมทบกองทุนประกันสังคม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยที่ 1820/2555 ของคณะกรรมการอุทธรณ์ลงวันที่ 29 พฤศจิกายน 2555 ให้จำเลยคืนเงินสมทบเพิ่มเติม 34,814 บาท และคืนเงินสมทบจากการหักเงินค่านั่งเครื่องตั้งแต่เดือนเมษายน 2556 ไปจนคดีถึงที่สุดแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงยุติในชั้นพิจารณาของศาลแรงงานกลางโดยคู่ความมิได้โต้แย้งกันและตามที่ศาลแรงงานกลางรับฟังมาว่า โจทก์เป็นศูนย์การค้า มีสาขา 9 แห่ง ให้ลูกจ้างทำงานสัปดาห์ละ 6 วัน มีวันหยุด 1 วัน ต่อสัปดาห์ หมุนเวียนกันไป แบ่งเวลาทำงานเป็นสองช่วง คือเวลา 9 นาฬิกา ถึง 18 นาฬิกา และเวลา 10 นาฬิกา ถึง 19 นาฬิกา พนักงานแคชเชียร์เป็นพนักงานที่มีกำหนดจ่ายค่าจ้างเป็นรายเดือน เมื่อปี 2552 โจทก์นำระบบการจ่ายค่านั่งเครื่องแคชเชียร์มาใช้กับพนักงานแคชเชียร์จนถึงเดือนกรกฎาคม 2552 จึงเปลี่ยนมาใช้ระบบจ่ายเงินรางวัลดีเด่นแก่พนักงานแคชเชียร์สาขาละ 3 รางวัล ลดหลั่นกันลงไปแทน จนกระทั่งปลายปี 2553 โจทก์เปลี่ยนกลับมาใช้ระบบการจ่ายค่านั่งเครื่องแคชเชียร์ให้แก่พนักงานแคชเชียร์เช่นเดิม โจทก์มีหลักเกณฑ์การจ่ายค่านั่งเครื่องให้แก่พนักงานแคชเชียร์โดยกำหนดอัตราค่านั่งเครื่องเดือนละ 500 บาท ให้แก่พนักงานแคชเชียร์ทุกคนในอัตราเท่า ๆ กันเป็นประจำทุกเดือนก่อน จากนั้นโจทก์จะประเมินผลจากความประพฤติในการทำงานและการปฏิบัติหน้าที่ผิดพลาดของพนักงานแคชเชียร์โดยกำหนดเป็นคะแนนที่ถูกหักแล้วนำมาคำนวณเป็นเงินเพื่อหักออกจากค่านั่งเครื่องที่กำหนดไว้ตามตารางการจ่ายค่านั่งเครื่อง พนักงานแคชเชียร์บางคนเคยไม่ได้รับค่านั่งเครื่องในบางเดือน การจ่ายค่านั่งเครื่องของพนักงานแคชเชียร์เกิดขึ้นจากกรณีที่พนักงานแคชเชียร์มีความประพฤติไม่อยู่ในกฎระเบียบข้อบังคับปฏิบัติงานผิดพลาด ส่งผลเสียต่อหน่วยงานและนำไปสู่การลงโทษพนักงาน โจทก์ชำระเงินสมทบโดยคำนวณจากการจ่ายค่านั่งเครื่องเพิ่มเติมของเดือนมกราคมถึงเดือนกรกฎาคม 2552 เป็นเงิน 34,814 บาท ให้แก่จำเลยแล้ว นอกจากนี้โจทก์นำเงินสมทบโดยคำนวณจากการจ่ายค่านั่งเครื่องตั้งแต่เดือนเมษายน 2556 เป็นต้นไปให้แก่จำเลยด้วย
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า ค่านั่งเครื่องของพนักงานแคชเชียร์เป็นค่าจ้างที่ต้องนำมาคำนวณเป็นเงินสมทบกองทุนประกันสังคมหรือไม่ และจำเลยต้องคืนเงินสมทบที่โจทก์ชำระให้แก่จำเลยหรือไม่ เพียงใด เห็นว่า พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 มาตรา 5 ให้ความหมายของค่าว่า ค่าจ้าง หมายความว่า เงินทุกประเภทที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเป็นค่าตอบแทนในการทำงานในวันและเวลาทำงานปกติ ไม่ว่าจะคำนวณตามระยะเวลาหรือคำนวณตามผลงานที่ลูกจ้างทำได้ และให้หมายความรวมถึงเงินที่นายจ้างจ่ายให้ในวันหยุดและวันลาซึ่งลูกจ้างไม่ได้ทำงานด้วย ทั้งนี้ ไม่ว่าจะกำหนด คำนวณ หรือจ่ายในลักษณะใดหรือโดยวิธีการใดและไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไร คดีนี้ข้อเท็จจริงยุติว่าโจทก์กำหนดอัตราค่านั่งเครื่องของพนักงานแคชเชียร์ในอัตราเดือนละ 500 บาทต่อคน เท่ากันทุกเดือน โดยมีหลักเกณฑ์ว่าหากพนักงานแคชเชียร์มีความประพฤติไม่ดี ทำความผิดหรือทำงานมีข้อผิดพลาดก็จะหักคะแนนและนำไปปรับลดเงินค่านั่งเครื่อง ซึ่งหลักเกณฑ์การหักคะแนนเป็นไปตามตารางการจ่ายค่านั่งเครื่องแคชเชียร์ ในบางเดือนอาจมีพนักงานแคชเชียร์บางคนไม่ได้รับค่านั่งเครื่องเลย สาเหตุที่มีระบบการจ่ายค่านั่งเครื่องเกิดจากกรณีพนักงานแคชเชียร์ทำงานผิดพลาดและมีความประพฤติไม่ถูกต้องตามระเบียบ จากข้อเท็จจริงดังกล่าวจะเห็นได้ว่าการจ่ายค่านั่งเครื่องให้แก่พนักงานแคชเชียร์ของโจทก์นั้นแม้ในเบื้องต้นจะกำหนดอัตราค่านั่งเครื่องในอัตราเท่ากันทุกเดือน แต่การจ่ายค่านั่งเครื่องให้จริงเป็นจำนวนมากน้อยหรือไม่จ่ายค่านั่งเครื่องเลยย่อมขึ้นอยู่กับการประเมินผลในเรื่องความประพฤติปฏิบัติตนและความตั้งใจในการทำงาน การจ่ายค่านั่งเครื่องดังกล่าวจึงเป็นการจ่ายให้เพื่อส่งเสริมให้พนักงานแคชเชียร์ตั้งใจทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความประพฤติที่ดี ลดข้อผิดพลาดในการทำงานให้น้อยลง และกระตุ้นให้พนักงานตั้งใจทำงานเป็นสำคัญ ไม่ได้มีลักษณะเป็นการตอบแทนในการทำงานในวันและเวลาทำงานปกติตามความหมายของคำว่าค่าจ้างตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 ค่านั่งเครื่องแคชเชียร์ของพนักงานแคชเชียร์จึงไม่ใช่ค่าจ้าง โจทก์ไม่ต้องนำค่านั่งเครื่องดังกล่าวมาคำนวณเป็นเงินสมทบกองทุนประกันสังคม ที่คณะกรรมการอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 มีคำวินิจฉัยที่ 1820/2555 ลงวันที่ 29 พฤศจิกายน 2555 ให้โจทก์ชำระเงินสมทบในส่วนของค่านั่งเครื่องตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนกรกฎาคม 2552 พร้อมเงินเพิ่มในอัตราร้อยละสองต่อเดือนจึงไม่ชอบ อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น เมื่อค่านั่งเครื่องไม่ใช่ค่าจ้างที่ต้องนำมาคำนวณเป็นเงินสมทบกองทุนประกันสังคมดังที่ศาลฎีกาวินิจฉัยไว้และคดีได้ความว่าโจทก์นำส่งเงินสมทบที่คำนวณจากค่านั่งเครื่องสำหรับเดือนมกราคมถึงเดือนกรกฎาคม 2552 จำนวน 34,814 บาท และนำส่งเงินสมทบที่คำนวณจากค่านั่งเครื่องตั้งเดือนเดือนเมษายน 2556 ให้แก่จำเลย จำเลยจึงต้องคืนเงินสมทบที่โจทก์คำนวณจากค่านั่งเครื่องแล้วนำส่งให้แก่จำเลยดังกล่าวแก่โจทก์ด้วย สำหรับอุทธรณ์ข้ออื่นของโจทก์ไม่จำต้องวินิจฉัย เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง
พิพากษากลับ ให้เพิกถอนคำวินิจฉัยคณะกรรมการอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 ที่ 1820/2555 ลงวันที่ 29 พฤศจิกายน 2555 ให้จำเลยคืนเงินสมทบ 34,814 บาท และคืนเงินสมทบในส่วนที่โจทก์คำนวณจากค่านั่งเครื่องตั้งแต่เดือนเมษายน 2556 แล้วนำมาส่งจำเลย แก่โจทก์

Share