แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์มีสิทธิรับมรดกของ ส. หนึ่งในสามส่วนของที่ดินมรดก 13 ไร่เศษ ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินมรดกดังกล่าวเป็นมรดกตกทอดมายังโจทก์หนึ่งในสามส่วน และขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ไปทำนิติกรรมจดทะเบียนแบ่งแยกให้แก่โจทก์โดยมิได้ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชำระเงินหรือชดใช้ราคาแทนที่ดิน ข้อเท็จจริงในการพิจารณาได้ความเป็นยุติว่า จำเลยที่ 1 โอนขายที่ดินมรดกบางส่วนให้จำเลยที่ 3 ไปแล้วและจำเลยที่ 3 รับโอนโดยสุจริต เสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต ดังนี้กรณีจึงไม่อาจเพิกถอนการโอนได้ แต่เงินที่จำเลยที่ 1 รับมาจากการขายที่ดินมรดกเป็นเงินเข้าแทนที่ที่ดินมรดก ถือได้ว่าเงินดังกล่าวเป็นมรดกในฐานะนิตินัยอย่างเดียวกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 226 วรรคสองโดยมีส่วนที่โจทก์มีสิทธิได้รับรวมอยู่ด้วย ฉะนั้น การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษา ให้จำเลยที่ 1ใช้ราคาที่ดินแก่โจทก์จึงไม่นอกเหนือหรือเกินไปจากคำขอ
การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาไม่ตรงตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ มิใช่เป็นเรื่องผิดพลาดเล็กน้อยหรือผิดหลง แต่เป็นเรื่องทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป โจทก์ไม่อาจยื่นคำร้องขอให้แก้ไขตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 143 ได้ และการที่โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขเลขที่ น.ส.3 ก. จากเลขที่ 3706 และ 3707 ในคำพิพากษาซึ่งพิมพ์ผิดพลาดเป็นเลขที่ 3906 และ 3907 นั้น เมื่อคำพิพากษาไม่มีกรณีจะต้องบังคับเกี่ยวกับที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าว จึงไม่จำเป็นต้องแก้ไข
การที่โจทก์ไม่เห็นด้วยในผลตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โจทก์จะต้องฎีกาคัดค้านเพื่อให้ได้รับผลตามที่ประสงค์ โจทก์ไม่มีสิทธิขอมาในคำร้องหรือคำแก้ฎีกา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้พิพากษาว่าที่ดิน น.ส.3 ก. เลขที่ 2956, 2955, 3704, 3759, 3906 และ 3907 ตำบลกระนวน อำเภอกระนวน จังหวัดขอนแก่นและบ้านเลขที่ 130 หมู่ 3 เป็นของพันตำรวจโทสมาน ทองบ่อ กึ่งหนึ่งซึ่งตกทอดแก่โจทก์หนึ่งในสาม ให้เพิกถอนนิติกรรมขายฝากและขายที่ดิน น.ส.3 ก.เลขที่ 2956 ตำบลกระนวน อำเภอกระนวน จังหวัดขอนแก่น ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3 นิติกรรมขายฝาก ขายและแบ่งขายที่ดิน น.ส.3 ก. เลขที่ 2955 ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 ระหว่างจำเลยที่ 3 กับจำเลยที่ 1 นิติกรรมขายและแบ่งขายที่ดิน น.ส.3 ก. เลขที่ 3759 ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3 ระหว่างจำเลยที่ 3 กับจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ มิฉะนั้นให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา และให้จำเลยที่ 1 ใช้ราคาบ้านจำนวน 5,000 บาท แก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การและแก้ไขคำให้การ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 3 ให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 117,500 บาท ให้แก่โจทก์ คำขออื่นให้ยกและให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยที่ 1 เพียงว่าที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ใช้ราคาที่ดินมรดกแก่โจทก์ เป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องหรือไม่เห็นว่าโจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์มีสิทธิรับมรดกของพันตำรวจโทสมาน ทองบ่อหนึ่งในสามส่วนเฉพาะที่ดินมรดกตามฟ้องคิดเป็นที่ดิน 13 ไร่ 3 งาน 88 ตารางวาราคา 195,580 บาท แม้คำขอท้ายฟ้องของโจทก์ขอให้พิพากษาว่าที่ดินมรดกตามฟ้องเป็นมรดกตกทอดมายังโจทก์หนึ่งในสามส่วน และขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ไปทำนิติกรรมจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ หากจำเลยที่ 1 ไม่ยอมไปทำนิติกรรมจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ ขอถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1 โดยมิได้ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชำระเงินหรือชดใช้ราคาแทนที่ดินดังกล่าวก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า จำเลยที่ 1 โอนขายที่ดินมรดกบางส่วนให้จำเลยที่ 3 แล้ว และจำเลยที่ 3 รับโอนโดยสุจริต เสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตจึงไม่อาจเพิกถอนการโอนได้ ดังนั้นเงินที่จำเลยที่ 1 รับมาจากการขายที่ดินมรดกจึงเข้าแทนที่ที่ดินมรดก ซึ่งถือได้ว่าเงินดังกล่าวเป็นมรดกในฐานะนิตินัยอย่างเดียวกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 226 วรรคสอง โดยมีส่วนที่โจทก์มีสิทธิที่จะได้รับรวมอยู่ด้วย การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ใช้ราคาที่ดินแก่โจทก์จึงไม่นอกเหนือหรือเกินคำขอ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ที่โจทก์ยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 21 เมษายน 2542 ขอให้แก้ไขคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสอง โดยอ้างว่าศาลชั้นต้นพิพากษาผิดพลาดคลาดเคลื่อนเล็กน้อยกล่าวคือพิพากษาว่า สำหรับที่ดิน น.ส.3 ก. เลขที่ 3704, 3706 และ 3707เป็นทรัพย์มรดก แต่โจทก์มิได้มีคำขอมาในคำฟ้องจึงไม่อาจบังคับให้ได้ ความจริงโจทก์ได้ขอมาในคำขอท้ายฟ้องข้อ 1 ของโจทก์แล้ว จึงขอให้ศาลฎีกาแก้ไขคำพิพากษาให้บังคับตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์นั้น เห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาไม่ตรงตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ กรณีมิใช่เป็นเรื่องผิดพลาดเล็กน้อยหรือผิดหลง แต่เป็นเรื่องทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป โจทก์จึงไม่อาจยื่นคำร้องขอให้แก้ไขตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 143 ได้ ส่วนการแก้ไขเลขที่ น.ส.3 ก. จากเลขที่ 3706และ 3707 เป็นเลขที่ 3906 และ 3907 ซึ่งเป็นการพิมพ์ผิดพลาดเล็กน้อยนั้น เห็นว่า เมื่อตามคำพิพากษาศาลฎีกาไม่มีกรณีจะต้องบังคับเกี่ยวกับที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าว การแก้ไขตามที่ขอจึงไม่จำเป็นเพราะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แต่ประการใด ส่วนที่คำร้องดังกล่าวกับคำแก้ฎีกาของโจทก์ ขอให้พิพากษาให้จำเลยที่ 1 แบ่งที่ดินตามคำขอท้ายฟ้อง ข้อ 1 ในส่วนที่เป็นมรดกของพันตำรวจโทสมานให้แก่โจทก์หนึ่งในสามส่วนคิดเป็นเนื้อที่ 13 ไร่ 2 งาน 88 ตารางวา หากจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามก็ให้บังคับตามคำขอท้ายฟ้อง ข้อ 5 คือให้จำเลยที่ 1 ไปทำนิติกรรมจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินให้โจทก์ ณ สำนักงานที่ดินขอนแก่น สาขากระนวน หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1 และพิพากษาให้จำเลยที่ 1ใช้ราคาบ้านให้โจทก์หนึ่งในสามส่วนเป็นเงิน 5,000 บาทนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อโจทก์ไม่เห็นด้วยในผลตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 โจทก์จะต้องฎีกาคัดค้านเพื่อให้ได้รับผลตามที่ประสงค์ หามีสิทธิขอมาในคำร้องหรือคำแก้ฎีกาไม่ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยปัญหาตามคำร้องและตามคำแก้ฎีกาของโจทก์”
พิพากษายืน