แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญาเช่าไม่ได้กำหนดระยะเวลาการเช่าเป็นแต่ระบุค่าเช่าเดือนละ 30 บาท ต้องถือว่ากำหนดชำระค่าเช่าเป็นรายเดือน จำเลยจะเถียงว่าทางปฏิบัติชำระค่าเช่ากันเป็นรายปีไม่ได้ เพราะกฎหมายบัญญัติไว้ในมาตรา 566 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่า “ในความที่ตกลงกัน” คือ ตามสัญญา ไม่ใช่ทางปฎิบัติ เรื่องนี้ไม่มีกำหนดเวลาเช่า กำหนดแต่ระยะค่าเช่า คือ เดือนละครั้ง จึงบอกล่วงหน้าเพียง 1 เดือนก็พอ โจทก์บอกล่วงหน้าตั้งแต่วันที่ 9 กันยายน 2501 และฟ้องคดีวันที่ 20 พฤศจิกายน 2501 เป็นเวลากว่า 1 เดือนชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ศาลพิพากษาบังคับให้จำเลยขนไม้และสิ่งของต่าง ๆ ออกไปให้พ้นที่ดินและบ้านเรือนของโจทก์ ซึ่งจำเลยเป็นผู้เช่าและเป็นผู้นำสิ่งของเหล่านี้เข้ามา ในชั้นบังคับคดี จำเลยทำสัญญาประกันกับศาลว่าจะปฎิบัติตามคำบังคับครบถ้วนทุกประการภายใน 7 วัน ถ้าไม่ปฏิบัติครบถ้วนภายในกำหนดจะยอมให้ปรับเป็นเงิน 8,000 บาท ครั้งถึงกำหนดปรากฎว่าจำเลยขนไม้และสิ่งของออกไปบางส่วน ส่วนไม้และสิ่งของที่เหลือจำเลยอ้างว่าเป็นของหุ้นส่วนซึ่งได้ตกลงแบ่งปันกันแล้ว ไม่ใช่ทรัพย์ของจำเลย ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าจำเลยมีหน้าที่ขนของที่จำเลยนำเข้ามาออกไป ไม่ว่าจะเป็นของ ๆ ใครก็ตาม เมื่อจำเลยขนไปไม่หมดก็ต้องถูกปรับ 8,000 บาทตามสัญญา.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่เช่าโดยให้ขนสิ่งของต่าง ๆ และบริวารให้พ้นที่ดินและบ้านเรือนของโจทก์และเรียกค่าเสียหายด้วย
จำเลยให้การต่อสู้อ้างความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ฯ และสู้ว่าการบอกเลิกการเช่าของโจทก์ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๖๖
ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลยโดยฟังว่าจำเลยใช้บ้านพิพาทเพื่อประโยชน์ในทางการค้า ไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ฯ และโจทก์ได้บอกเลิกการเช่าโดยชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๖๖ แล้ว ส่วนค่าเสียหายคงพิพากษาให้โจทก์เพียงบางส่วน ไม่เต็มตามฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ว่าควรได้ค่าเสียหายตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์ว่ายังมีสิทธิเช่าและโจทก์บอกเลิกการเช่าไม่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๖๖
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้ยกอุทธรณ์โจทก์จำเลยเสียทั้งสองฝ่าย
จำเลยฎีกาต่อมาและร้องขอทุเลาการบังคับ ศาลฎีกาสั่งยกคำร้องโจทก์ขอให้เรียกจำเลยมาสอบถามในการที่จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำบังคับของศาล ในที่สุดศาลชั้นต้นสั่งให้กักขังจำเลยที่ ๒ ไว้จนกว่าจะขนย้ายเสร็จ หรือมิฉะนั้นให้จำเลยวางเงินสด ๘,๐๐๐ บาท โดยจำเลยจะต้องให้สัญญาว่าจะปฏิบัติตามคำบังคับครบถ้วนทุกประการภายใน ๗ วัน ถ้าไม่ปฏิบัติครบถ้วนภายในกำหนดจะต้องถูกปรับเงินประกันนั้น จำเลยที่ ๒ ยอมทำสัญญาประกัน และวางเงิน ๘,๐๐๐ บาทตามที่ศาลสั่ง ปรากฎตามสัญญาประกันลงวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๐๓
ต่อมาวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๐๓ จำเลยยื่นคำแถลงว่าจำเลยได้จัดการขนย้ายไม้และสิ่งของต่าง ๆ อันเป็นส่วนของจำเลยออกจากที่ดินและบ้านเรือนของโจทก์หมดสิ้น เป็นการปฏิบัติตามคำบังคับแล้ว จึงขอรับเงิน ๘,๐๐๐ ยาทที่วางประกันไว้คืน
ศาลสอบถาม จำเลยที่ ๒ แถลงว่า ไม้และสิ่งของของจำเลยได้ขนออกไปหมดก่อนวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๐๓ แล้ว แต่ไม้และสิ่งของที่เหลืออยู่เป็นของนายเงี่ยงเจ็งซึ่งเป็นหุ้นส่วนกับจำเลยนายเงี่ยงเจ็งขนเสร็จไปเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๐๓ นี้เอง ไม้และสิ่งของของนายเงี่ยงเจ็งที่กล่าวนี้เดิมก็รวมเป็นหุ้นส่วนอยู่กับจำเลย แต่เพิ่งมาแบ่งปันกันเมื่อวันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๐๓
โจทก์แถลงว่าที่จำเลยว่าไม้และสิ่งของเป็นของนายเงี่ยงเจ็งนั้น ไม่เป็นความจริง ถือว่าเป็นของจำเลย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ ๑๕ กันยายน ๑๕๐๓ ว่าไม้และสิ่งของที่จำเลยอ้างว่าเป็นของนายเงี่ยงเจ็งนั้น เดิมก็เป็นของจำเลยเป็นเจ้าของร่วมอยู่ด้วย เท่ากับจำเลยได้นำเอาไม้และสิ่งของเหล่านั้นเข้ามาไว้ในที่ดินของโจทก์ เมื่อจำเลยแพ้คดีจำเลยก็มีหน้าที่ต้องเอาไม้และสิ่งของเหล่านั้นทั้งหมดออกจากที่ดินของโจทก์ภายในกำหนดสัญญา เมื่อขนไปไม่หมดก็ต้องถือว่าจำเลยผิดสัญญาจะอ้างว่าแบ่งแยดเป็นของคนโน้นคนนี้ไม่ได้ จึงมีคำสั่งว่าจำเลยผิดสัญญาที่ทำไว้ต่อศาล ให้ปรับเงิน ๘,๐๐๐ บาทนั้นเสีย
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์คำสั่งในเรื่องที่ศาลปรับ ๘,๐๐๐ บาท
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ ฎีกาในเรื่องค่าปรับต่อมา
ศาลฎีกาวินิจฉัยฎีกาของจำเลยทั้งสองในเรื่องเนื้อหาแห่งคดีก่อน แล้วจึงวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ ๒ ในเรื่องค่าปรับชั้นบังคับคดีฎีกาของจำเลยในเรื่องเนื้อหาแห่งคดีนั้น จำเลยฎีกาโต้เถียง ๒ ข้อ ข้อหนึ่งว่าผู้เช่าส่งเงินค่าเช่าไปให้ผู้ให้เช่าทางธนาณัติแล้ว ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกการเช่าในระหว่างที่ตนได้รับค่าเช่าไม่ได้ ข้อนี้ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ส่งธนาณัติคืนและไม่ได้รับเงินค่าเช่าจากจำเลยไว้ ฉะนั้น ฎีกาของจำเลยข้อนี้จึงตกไปเพราะผิดข้อเท็จจริง
อีกข้อหนึ่งจำเลยฎีกาว่า การบอกเลิกการเช่าไม่ถูกต้องตามกฎหมาย โดยเถียงว่า ทางปฏิบัติชำระค่าเช่าเป็นรายปี ต้องบอกล่วงหน้า ๑ เดือน ก่อนครบปี คือ ในเดือนกรกฎาคม จะมาบอกเลิกเดือนกันยายนไม่ได้ ศาลฎีกาเห็นว่า ตามสัญญาเช่าไม่ได้กำหนดระยะเวลาเช่า เป็นแต่ระบุค่าเช่าเดือนละ ๓๐ บาท ต้องถือกำหนดชำระค่าเช่ารายเดือน จำเลยจะถือเอาทางปฏิบัติในการชำรค่าเช่าไม่ได้ เพราะกฎหมายบัญญัติไว้ในมาตรา ๕๖๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่า “ในความที่ตกลงกัน” คือ ตามสัญญา ไม่ใช่ทางปฏิบัติ เรื่องนี้ไม่มีกำหนดเวลาเช่า กำหนดแต่ระยะค่าเช่า คือ เดือนละครั้ง จึงบอกล่วงหน้าเพียง ๑ เดือนก็พอ โจทก์บอกล่วงหน้าตั้งแต่วันที่ ๙ กันยายน ๒๕๐๑ และฟ้องคดีวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๐๑ เป็นเวลากว่า ๑ เดือน ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
ส่วนฎีกาจำเลยที่ ๒ ในชั้นบังคับคดี ซึ่งจำเลยเถียงว่าไม่ต้องรับผิดในการที่ขนไม้และสิ่งของไม่เสร็จตามสัญญาเพราะไม่ใช่ของ ๆ จำเลยนั้ ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลพิพากษาบังคับให้จำเลยชนไม้และสิ่งของต่าง ๆ ออกไปให้พ้นที่ดินและบ้านเรือนของโจทก์ จำเลยเป็นผู้เช่าและเป็นผู้นำสิ่งของเหล่านี้เข้ามา จำเลยต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาที่จะต้องขนออกไป ไม่ว่าจะเป็นของ ๆ ใคร เพราะการปฏิบัติตามคำพิพากษาอยู่ที่ว่าขนของที่จำเลยนำเข้ามาออกไป จำเลยจะไปตกลงแบ่งของให้ใครก็ตาม หน้าที่ที่จำเลยจะปฏิบัติตามคำพิพากษาในการขนของออกไปก็คงมีอยู่ตามเดิม การที่จำเลยตกลงกับคนภายนอกผู้ไม่มีสิทธิดีกว่าโจทก์ หาอาจเปลี่ยนแปลงหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาได้ไม้ อีกประการหนึ่ง ก่อนที่จำเลยจะทำสัญญาประกัน จำเลยรู้แล้วว่าได้แบ่งไม้กัน จำเลยก็ยังยอมรับจะขนย้ายไม้ ดังนั้น ที่จำเลยฎีกาว่าไม่ต้องรับผิดตามสัญญาประกันจึงฟังไม่ขึ้น
ส่วนฎีกาที่ขอลดหย่อนผ่อนค่าปรับที่ต้องริบลงนั้น ตามพฤติการณ์แสดงให้เห็นว่าวิธีการดื้อดึงของจำเลยโดยใช้อุบาย หาควรลดหย่อนให้ไม่
จึงพิพากษายืน ให้ยกฎีกาของจำเลยเสีย ให้จำเลยใช้ค่าทนายชั้นนี้ ๑๕๐ บาท แทนโจทก์ด้วย.