แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
ข้อตกลงในการชำระหนี้ที่คู่ความทำขึ้นใหม่แตกต่างจากข้อตกลงในการชำระหนี้ที่คู่ความกำหนดไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความที่ศาลพิพากษาตามยอมไปแล้วนั้น เมื่อมิได้กระทำต่อหน้าศาล ศาลไม่รับรู้ข้อตกลงดังกล่าว ดังนั้น หากปรากฏว่าจำเลยทั้งสองยังไม่ปฏิบัติการชำระหนี้ตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความ ถือว่าจำเลยทั้งสองผิดนัด ศาลย่อมออกหมายบังคับคดีตามที่โจทก์ร้องขอได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 351,337 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี แก่โจทก์ แต่จำเลยทั้งสองผิดนัดไม่ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามกำหนด โจทก์จึงขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีเพื่อดำเนินการบังคับคดีแก่จำเลยทั้งสอง
จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้อง ขอให้เพิกถอนหมายบังคับคดีและถอนการบังคับคดี
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า โจทก์ไม่เคยตกลงและไม่เคยได้รับสินค้าจากจำเลยที่ 1 เอกสารท้ายคำร้องของจำเลยที่ 1 เป็นเอกสารปลอม จำเลยทั้งสองชำระหนี้ให้โจทก์เพียง 5,000 บาท ยังคงค้างชำระหนี้จำนวน 346,337 บาท ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายกอุทธรณ์ คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ให้แก่จำเลยทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์นอกจากนี้ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงได้ความว่า คดีนี้จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนหมายบังคับคดีและถอนการบังคับคดีโดยอ้างว่า ภายหลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอม โจทก์มีหนังสือแจ้งให้จำเลยที่ 1 ส่งมอบสินค้าประเภทอะไหล่และอุปกรณ์รถแบ็กโฮและรถบดถนนแก่โจทก์แทนการชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอม จำเลยที่ 1 ส่งมอบสินค้าให้แก่โจทก์หลายครั้ง คิดเป็นเงิน 348,700 บาท คงค้างชำระเพียง 2,637 บาท การที่จำเลยที่ 1 ส่งมอบสินค้าประเภทอะไหล่และอุปกรณ์รถให้แก่โจทก์ดังกล่าวย่อมทำให้หนี้ตามคำพิพากษาตามยอมระงับไป ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องโดยเห็นว่า แม้จะได้ความตามคำร้องของจำเลยทั้งสองศาลก็ไม่อาจบังคับให้ได้ และจำเลยจะยกมาเป็นเหตุไม่ได้ ศาลดำเนินการบังคับคดีต่อไปหาได้ไม่ จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองโดยเห็นว่าเป็นอุปกรณ์ที่ไม่ชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง
สำหรับกรณีที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องในส่วนที่จำเลยที่ 2 ทั้งที่จำเลยที่ 2 ไม่ได้ยื่นคำร้อง และศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 โดยเห็นว่าเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชัดแจ้งนั้น เห็นว่า เมื่อจำเลยที่ 2 มิได้ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนหมายบังคับคดีและถอนการบังคับคดี ย่อมถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นคู่ความในชั้นบังคับคดี การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 9 มีคำสั่งและคำพิพากษาดังกล่าวมา รวมทั้งที่ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์และฎีกาของจำเลยที่ 2 ไว้เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย คดีคงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 เป็นการชอบหรือไม่ จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าการที่จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่าโจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้ตกลงแปลงหนี้ใหม่อันทำให้หนี้ตามคำพิพากษาตามยอมระงับ โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 นั้น เป็นการโต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นโดยชัดแจ้งแล้ว เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยที่ 1 เนื่องจากแม้จะได้ความตามคำร้อง ศาลก็มิอาจบังคับให้ได้และจำเลยที่ 1 จะยกมาเป็นเหตุไม่ให้ศาลดำเนินการบังคับคดีต่อไปหาได้ไม่ ชอบที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 จะไปดำเนินคดีต่างหาก ไม่มีเหตุที่จะให้เพิกถอนการบังคับคดี จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่าโจทก์กับจำเลยทั้งสอง ตกลงแปลงหนี้ใหม่ด้วยการเปลี่ยนสิ่งที่เป็นสาระสำคัญแห่งหนี้ หนี้ตามคำพิพากษาตามยอมจึงระงับลงแล้ว เป็นกรณีที่จำเลยที่ 1 อุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าหากศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงได้ความตามคำร้องของจำเลยที่ 1 แล้วก็มีเหตุที่ศาลชั้นต้นจะเพิกถอนการบังคับคดีเนื่องจากไม่มีหนี้ตามคำพิพากษาหลงเหลืออยู่ให้ต้องบังคับคดีกันอีกต่อไป ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้องของจำเลยที่ 1 จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการโต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นและเป็นอุทธรณ์ที่ชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่งแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ด้วยเหตุที่ว่าเป็นอุทธรณ์ต้องห้าม จึงเป็นการไม่ชอบ แต่เมื่อคดีขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวไปทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 9 วินิจฉัยใหม่ และเห็นว่า แม้จะได้ความว่า โจทก์มีข้อตกลงกับจำเลยที่ 1 ใหม่ภายหลังจากทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลโดยจำเลยที่ 1 ส่งมอบสินค้าประเภทอะไหล่และอุปกรณ์รถให้แก่โจทก์แทนการชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอม แต่ข้อตกลงดังกล่าวโจทก์กับจำเลยที่ 1 มิได้กระทำต่อหน้าศาล ศาลจึงไม่อาจรับรู้ข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้ เมื่อจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่จำเลยทั้งสองทำไว้แก่โจทก์ต่อหน้าศาล ศาลย่อมออกหมายบังคับคดีตามที่โจทก์ร้องขอเพื่อบังคับคดีเอาแก่จำเลยทั้งสองได้ ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมานั้นชอบแล้ว”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 ยกอุทธรณ์และฎีกาของจำเลยที่ 2 และให้บังคับไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น เนื่องจากจำเลยที่ 1 ยื่นฎีการวมกันมากับจำเลยที่ 2 โดยเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา 200 บาท จึงไม่มีค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาที่จะสั่งคืนให้ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และฎีกานอกจากนี้ให้เป็นพับ