แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จากสภาพรอยห้ามล้อของรถจำเลยที่ 1 ซึ่งปรากฏบนถนนที่เกิดเหตุมีความยาวถึงประมาณ 8 เมตร แสดงว่าจำเลยที่ 1 ขับรถมาด้วยความเร็วสูง เมื่อมาถึงบริเวณที่เกิดเหตุมีควันไฟหนา ไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้ จำเลยที่ 1 จึงพยายามหยุดรถอย่างแรง ทำให้ล้อรถไถไปตามถนนโดยไม่หมุน ในที่สุดรถของจำเลยที่ 1 พุ่งเข้าชนท้ายรถของโจทก์ซึ่งจอดอยู่บนถนนจนตกไปบนไหล่ทางและเกิดความเสียหายความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถของโจทก์ดังกล่าวจึงเกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 ซึ่งขับรถด้วยความเร็วสูง จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นให้แก่โจทก์
เมื่อโจทก์ขับรถมาถึงบริเวณที่เกิดเหตุ เห็น จ. ขับรถฝ่าเข้าไปในควันไฟซึ่งเกิดขึ้นจากไฟไหม้หญ้าข้างทาง เนื่องจากควันไฟดังกล่าวหนาทึบทำให้ไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้เช่นนี้ โจทก์ควรหยุดรถรอให้ควันไฟเบาบางลงก่อนแล้วค่อยขับรถต่อไป แต่โจทก์กลับเสี่ยงภัยขับรถตาม จ. ฝ่าควันไฟเข้าไป จนกระทั่งชนท้ายรถของ จ. ทำให้รถของโจทก์จอดกีดขวางช่องทางจราจร โจทก์จึงมีส่วนประมาทก่อให้เกิดความเสียหายด้วย แต่เมื่อเปรียบเทียบกับจำเลยที่ 1 ซึ่งขับรถมายังที่เกิดเหตุด้วยความเร็วสูงทั้ง ๆที่มองไม่เห็นทางจนเป็นเหตุทำให้รถของจำเลยที่ 1 พุ่งเข้าชนท้ายรถของโจทก์อย่างแรงแล้ว ต้องถือว่าจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายประมาทเลินเล่อมากกว่าโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของรถกระบะยี่ห้อมาสด้าคันหมายเลขทะเบียนน – 8141 ตราด จำเลยที่ 1 เป็นสามีของจำเลยที่ 2 และเป็นคนขับรถกระบะยี่ห้อนิสสันคันหมายเลขทะเบียน น – 6085 ตราด ซึ่งจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของ เมื่อวันที่ 22 เมษายน2535 เวลา 14.30 นาฬิกา โจทก์ขับรถของโจทก์มาตามถนนสายตราด – แหลมศอกมุ่งหน้าไปทางสามแยกหนองเสม็ด เมื่อถึงบริเวณแหลมโรงมีไฟกำลังลุกไหม้ทุ่งนาด้านซ้ายมือ มีควันไฟหนาทึบ โจทก์ชะลอความเร็วลงเหลือ 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เปิดไฟหน้ากดแตรขับฝ่าควันเข้าไป รถโจทก์ชนท้ายรถกระบะยี่ห้ออีซูซุ คันหมายเลขทะเบียนน – 8077 ตราด ขณะรถทั้งสองคันจอดอยู่บนถนนได้ถูกรถของจำเลยที่ 2 ซึ่งจำเลยที่ 1ขับตามหลังด้วยความประมาทเลินเล่อโดยขับด้วยความเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดชนรถโจทก์ทางด้านท้ายอย่างแรงจนกระแทกไปถูกรถคันข้างหน้าอีกครั้ง ทำให้รถคันหน้าและรถโจทก์ตกลงไปที่ทุ่งนา รถโจทก์ถูกไฟไหม้เสียหายหมดทั้งคัน ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้เงินจำนวน 365,670 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี
จำเลยทั้งสองให้การและแก้ไขคำให้การว่า จำเลยที่ 1 ขับรถด้วยความระมัดระวังขณะขับผ่านหมอกควันไฟและไม่ได้ขับชนรถโจทก์เหตุที่เกิดขึ้นเนื่องจากโจทก์เป็นฝ่ายขับชนท้ายรถกระบะคันหมายเลขทะเบียน น – 8077 ตราด ที่อยู่ข้างหน้าจนทำให้รถทั้งสองคันตกข้างถนนและถูกไฟไหม้ รถโจทก์เป็นรถใช้แล้วสามารถซ่อมได้ในราคาไม่เกิน50,000 บาท
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์และจำเลยที่ 1 ต่างมีส่วนประมาทเลินเล่อ แต่จำเลยที่ 1 ประมาทเลินเล่อมากกว่าจึงให้จำเลยที่ 1 รับผิดในความเสียหายกึ่งหนึ่งของความเสียหายที่โจทก์ได้รับ โดยกำหนดค่าเสียหายของโจทก์เป็นเงิน 350,000 บาท ส่วนจำเลยที่ 2 ไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 เพราะไม่มีส่วนร่วมขับรถด้วย พิพากษาให้จำเลยที่ 1ชดใช้เงินจำนวน 175,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี คำขออื่นให้ยก
โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เป็นเงิน 231,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้องได้เกิดไฟไหม้หญ้าข้างทาง มีควันไฟหนาทึบปกคลุมถนนที่เกิดเหตุ โจทก์ขับรถกระบะตามรถกระบะอีซูซุสีแดงคันที่นายจำเนียรขับไปตามถนนฝ่าเข้าในกลุ่มควัน รถโจทก์ชนท้ายรถนายจำเนียร แล้วจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์บรรทุกผลไม้ฝ่ากลุ่มควันเข้าไป หลังจากนั้นรถโจทก์และรถนายจำเนียรตกลงข้างทางและถูกไฟลามไหม้เสียหายทั้งสองคัน มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ประการแรกว่ารถโจทก์ตกถนนเองหรือเพราะถูกรถจำเลยที่ 1 ชน โจทก์มีตัวโจทก์และนายสุพจน์ ใจบุญซึ่งโดยสารนั่งคู่มากับโจทก์เป็นพยานเบิกความทำนองเดียวกันว่า รถโจทก์ชนท้ายรถอีซูซุสีแดงโดยไม่รุนแรง ขณะโจทก์กำลังก้าวลงจากรถได้ถูกรถจำเลยที่ 1 ชนท้ายรถโจทก์จึงกระแทกรถคันหน้าอีก เป็นเหตุให้รถโจทก์และรถคันหน้าตกลงไหล่ถนนด้านซ้าย ผู้โดยสารช่วยกันเข็นรถขึ้นจากไหล่ถนน แต่ไม่สามารถเข็นขึ้นได้เนื่องจากไหล่ถนนสูง รถทั้งสองคันจึงถูกไฟไหม้เสียหาย ส่วนจำเลยมีจำเลยที่ 1 เบิกความว่าขับรถมาด้วยความเร็ว 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมงถึงที่เกิดเหตุมีควันไฟ จำเลยที่ 1 เปิดไฟหน้ารถและขับรถแล่นเข้าไปในควันไฟได้ประมาณ 20 เมตร ควันไฟเกิดหนาไม่สามารถมองเห็นสิ่งใด จำเลยที่ 1 จึงเบรคชะลอความเร็วรถเพื่อจะลงไหล่ทาง หลังจากเบรคชะลอความเร็วแล้ว รถเกิดเฉี่ยวชนอะไรไม่ทราบ เนื่องจากควันไฟหนาทึบจนมองไม่เห็น จากนั้นจำเลยที่ 1 ไปดูพบรถกระบะอีซูซุกับรถกระบะมาสด้า รถกระบะอีซูซุจอดห่างจากถนนประมาณ 10 เมตร ส่วนรถกระบะมาสด้าอยู่บนไหล่ถนน จำเลยที่ 1 ช่วยเข็นรถแต่ไม่สามารถเข็นได้ ต่อมาไฟลามไหม้รถกระบะอีซูซุก่อนหลังจากนั้นไหม้รถกระบะมาสด้า และได้ตอบทนายโจทก์ถามค้านว่าก่อนที่รถจำเลยที่ 1 จะชนรถโจทก์มีรอยเบรคห่างจากจุดชนประมาณ 8 เมตร และตอบทนายจำเลยถามติงว่าเหตุที่รอยล้อยาวประมาณ 8 เมตรเกิดขึ้นเนื่องจากจำเลยที่ 1 เบรคเพื่อลงไหล่ทาง เห็นว่า ที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าไม่ทราบว่ารถจำเลยที่ 1 เฉี่ยวชนอะไร แต่เมื่อลงไปดูพบรถโจทก์และรถนายจำเนียรตกลงไหล่ถนนไม่มีสิ่งอื่นใดอยู่บนถนนที่จะเป็นเหตุให้สงสัยว่ารถจำเลยที่ 1 เฉี่ยวชนสิ่งอื่น สภาพรอยเบรคของรถจำเลยที่ 1 ที่ปรากฏบนถนนมีความยาวถึงประมาณ 8 เมตร เกิดจากสภาวะที่ล้อรถจำเลยที่ 1 แล่นมาด้วยความเร็วสูงและถูกห้ามให้หยุดหมุนอย่างแรงล้อไถไปบนถนนโดยมิได้หมุน การที่ล้อรถไถไปบนถนนมีความยาวถึงประมาณ 8 เมตร และชนถูกท้ายรถโจทก์ซึ่งยังอยู่บนถนนเป็นเหตุให้รถโจทก์เคลื่อนไปกระแทกรถนายจำเนียรจนรถนายจำเนียรตกถนนห่างจากรถโจทก์ถึงประมาณ 10 เมตร และรถโจทก์ตกไปบนไหล่ทาง แม้จำเลยที่ 1 จะมีนางเยาวรัตน์ภริยานายจำเนียรเป็นพยานเบิกความว่าสามีพยานขับรถต่อไปกำลังจะพ้นกลุ่มควัน ปรากฏว่ามีแรงกระแทกจากด้านหลังเป็นเหตุให้กระจกด้านหลังรถแตก และรถเสียหลักหัวทิ่มลงไปข้างทางซึ่งอยู่ต่ำมาก ขณะที่รถกำลังไถลงข้างทางนั้นได้มีแรงกระแทกอีกครั้งหนึ่งโดยแรง กระแทกครั้งแรกรุนแรงกว่าครั้งที่สอง รถของสามีพยานตกไปข้างทางห่างจากถนนประมาณ 11 เมตร รถของสามีพยานถูกชนครั้งแรกก็ตกจากถนนโดยไม่จำต้องถูกชนซ้ำอีก แต่ใจความพยานปากนี้เบิกความเป็นกรณีที่จะวินิจฉัยถึงเหตุที่ทำให้รถคันที่นายจำเนียรขับและถูกไฟไหม้เป็นเหตุที่เกิดจากรถโจทก์ชนครั้งแรก หรือเกิดจากรถจำเลยที่ 1 ชน ซึ่งเป็นประเด็นที่นางเยาวรัตน์เป็นโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายเป็นอีกคดีหนึ่ง ส่วนประเด็นของคดีนี้นางเยาวรัตน์ได้เบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า สาเหตุที่รถโจทก์ตกจากถนนเนื่องจากถูกรถของจำเลยที่ 1 ชน ซึ่งเจือสมพยานหลักฐานฝ่ายโจทก์ เพราะถ้าหากรถโจทก์ตกถนนเองดังจำเลยที่ 1 อ้าง รถจำเลยที่ 1 ซึ่งแล่นอยู่บนถนนก็จะไม่ชนท้ายรถโจทก์ รูปคดีจึงรับฟังได้ว่า รถโจทก์ตกถนนเพราะถูกรถจำเลยที่ 1 ชน เป็นเหตุให้ไฟไหม้รถโจทก์ และจำเลยที่ 1 ประมาทเลินเล่อจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ประการสุดท้ายว่า จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเพียงใด เห็นว่า โจทก์ขับรถไปถึงที่เกิดเหตุ ได้เห็นรถคันที่นายจำเนียรขับฝ่าเข้าในควันไฟ โจทก์ขับรถตามเข้าไปในควันไฟซึ่งหนาทึบมากจนโจทก์เปิดไฟหน้ารถแล้วยังไม่สามารถมองเห็นข้างหน้า โจทก์ควรหยุดรถรอให้ควันไฟเบาบางจนสามารถพอมองเห็นได้บ้างจึงค่อยขับรถต่อไป แต่โจทก์กลับเสี่ยงภัยขับรถฝ่าควันไฟเข้าไปด้วยความเร็วถึง 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และเกิดเหตุชนท้ายรถที่นายจำเนียรขับเป็นเหตุให้รถโจทก์กีดขวางช่องทางจราจร ฟังได้ว่าโจทก์มีส่วนประมาทเลินเล่อก่อให้เกิดความเสียหายด้วย ส่วนจำเลยที่ 1 ขับรถด้วยความเร็วทั้งที่มองไม่เห็นทางและชนท้ายรถโจทก์อย่างแรงจนรถยนต์โจทก์ตกถนน ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายประมาทเลินเล่อมากกว่าโจทก์ มีปัญหาวินิจฉัยต่อไปว่ารถโจทก์มีราคาเท่าไร โจทก์ฟ้องอ้างว่ารถโจทก์เป็นรถใหม่ราคา 315,000 บาท และอ้างตนเองเป็นพยานเบิกความลอย ๆ ว่ารถโจทก์มีราคา 315,000 บาท โดยไม่มีราคารถมาแสดง ทั้งมิได้นำสืบผู้ค้ารถยนต์ว่ารถรุ่นของโจทก์มีราคาซื้อขายเท่าใด ฝ่ายจำเลยที่ 1 ก็เบิกความลอย ๆ ว่าสภาพของรถโจทก์ตีราคาได้เพียง 150,000 บาท จึงเห็นสมควรกำหนดราคารถโจทก์ 250,000บาท ส่วนเครื่องเสียง เครื่องปรับอากาศและเครื่องประดับอื่น ๆ ในรถโจทก์ โจทก์มีใบเสร็จรับเงินเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 รวมราคา 50,670 บาท รวมเป็นราคาทั้งสิ้น300,670 บาท พิเคราะห์ถึงความประมาทเลินเล่อที่โจทก์มีส่วนร่วมก่อให้เกิดความเสียหายแล้ว เห็นสมควรให้โจทก์ได้รับชดใช้ค่าเสียหาย 2 ใน 3 ส่วน เป็นเงินค่าเสียหาย200,446.66 บาท ฎีกาจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน…”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เป็นเงิน 200,446.66บาท นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1