คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 786/2502

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประมวลกฎหมายอาญา ม.92 ที่บัญญัติว่า “ผู้ใดต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก ถ้าและได้กระทำความผิดใด ๆ อีกในระหว่างที่ยังจะต้องรับโทษอยู่ก็ดี ฯลฯ” นั้น คำว่า รับโทษในประโยคหลัง หมายความถึง ได้รับโทษจำคุกในประโยคแรกนั่นเอง โทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้จึงไม่เป็นโทษที่กำลังรับอยู่หรือยังจะต้องรับอยู่ ตามความหมายในมาตรานี้ จะนำมาเป็นเหตุเพิ่มโทษ ตาม ม.92 หาได้ไม่

ย่อยาว

คดีมีปัญหามาสู่ศาลฎีกาเฉพาะเรื่องเพิ่มโทษตามประมวลกฎหมายอาญา ม.๙๒ ว่าผู้ที่ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกแต่รอการลงโทษไว้นั้น ถ้าได้กระทำความผิดขึ้นอีกภายในเวลาที่ศาลกำหนดตามความใน ม.๕๖ เมื่อศาลพวกโทษที่รอไว้เข้ากับโทษในคดีหลังแล้ว จะเพิ่มโทษอีกด้วยได้หรือไม่
ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลทั้งสองว่า เพิ่มโทษอีกไม่ได้
ข้อวินิจฉัยของศาลฎีกามีว่า คดีนี้โจทก์ฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า ประมวลกฎหมายอาญา ม.๙๒ ประโยคที่ว่า ในระหว่างที่ยังจะต้องรับโทษอยู่ก็ดี นั้น ย่อมกินความรวมถึงผู้ที่ถูกรอการลงโทษไว้ด้วยเพราะผู้ที่ถูกรอการลงโทษไว้นั้น นับได้ว่าอยู่ในระหว่างที่ยังจะต้องรับโทษอยู่ ศาลฎีกาเห็นว่า ประมวลกฎหมายอาญา ม.๙๒ ใช้คำว่า โทษจำคุก คือบัญญัติว่า ผู้ใดต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก ถ้าและได้กระทำความผิดใด ๆ อีกในระหว่างที่ยังจะต้องรับโทษอยู่ก็ดี ฯลฯ คำว่ารับโทษ ในประโยคหลัง ก็คือ โทษจำคุกในประโยคแรกนั่นเอง โทษที่รอไว้จึงไม่เป็นโทษที่กำลังรับอยู่หรือยังจะต้องรับอยู่ความใน มาตรา ๙๒ เทียบเคียงได้กับฎีกาที่ ๕๖๔/๒๕๐๐

Share