แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
พ. ปลูกบ้านอยู่ในที่ดินพิพาทโดยขออาศัยสิทธิของ ส. จำเลยอยู่ในที่ดินพิพาทสืบต่อจาก พ. จึงตกอยู่ในฐานะเป็นผู้อาศัยเช่นเดียวกับ พ. แม้โจทก์จะมิได้ห้ามปรามขณะจำเลยปลูกบ้านหลังใหม่แทนบ้านหลังเดิมของ พ. ก็หาทำให้ฐานะของจำเลยที่เป็นเพียงผู้อาศัยเปลี่ยนแปลงไปไม่ เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือตาม ป.พ.พ. มาตรา 1381 จำเลยจึงไม่อาจอ้างว่าจำเลยครอบครองที่ดินอย่างเป็นเจ้าของ และไม่อาจอ้างการครอบครองปรปักษ์ขึ้นยันโจทก์ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยและบริวารรื้อถอนขนย้ายสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 130 ตำบลเขาย้อย อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี ให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ 8,000 บาท และอีกเดือนละ 2,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารรื้อถอนขนย้ายสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 130 ตำบลเขาย้อย อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี และให้จำเลยชำระค่าเสียหาย 2,000 บาท กับอีกเดือนละ 500 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินของโจทก์
จำเลยอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 130 ตำบลเขาย้อย อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งมีเนื้อที่ 3 ไร่ 8 ตารางวา และมีชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับนางลำใย นางสำเนียง และนางใบโดยโจทก์จดทะเบียนรับโอนมรดกที่ดินเฉพาะส่วนมาจากนายสุขบิดาโจทก์เมื่อปี 2514 ตามสำเนาโฉนดที่ดิน ที่ดินส่วนที่นางลำใยและนางสำเนียงครอบครองอยู่ทางด้านทิศเหนือ ส่วนของโจทก์อยู่ตรงกลาง และส่วนของนางใบอยู่ทางด้านทิศใต้ตามแผนที่วิวาท เดิมนายเพลบิดาจำเลยปลูกบ้านอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทตามแนวเส้นสีเขียวในแผนที่วิวาทดังกล่าว หลังจากนายเพลถึงแก่ความตายจำเลยยังคงอาศัยอยู่ในบ้านและที่ดินพิพาท ต่อมาจำเลยปลูกบ้านใหม่ขึ้น 1 หลัง คือบ้านเลขที่ 35/2 หมู่ที่ 5 ตำบลเขาย้อย อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี ตามสำเนาทะเบียนบ้านและภาพถ่ายบ้าน ส่วนบ้านหลังเดิมจำเลยรื้อถอนออกไป คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์แล้วหรือไม่ เห็นว่า ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินมีโฉนดซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ได้จดทะเบียนที่ดิน โจทก์มีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินย่อมได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1373 ว่าเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง ภาระการพิสูจน์จึงตกแก่จำเลยที่ต้องนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าว และจะต้องเป็นฝ่ายพิสูจน์ว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี ทางนำสืบจำเลยอ้างตนเองเป็นพยาน กับมีนางบรรจงศรี นางมาลีนี นางบุญเยื่อ นางลั้ง และนายสนัดเบิกความทำนองเดียวกันว่า นายเพลบิดาจำเลยเข้าปลูกบ้านในที่ดินพิพาทโดยซื้อที่ดินพิพาทมาจากนายสุขบิดาโจทก์ แต่พยานจำเลยดังกล่าวคงมีจำเลยเพียงปากเดียวที่อ้างว่ารู้เห็นขณะนายเพลกับนายสุขซื้อขายที่ดินพิพาทกัน โดยจำเลยเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า นอกจากจำเลยเลยแล้วไม่มีบุคคลอื่นรู้เห็นอีก พยานจำเลยปากอื่นจึงไม่อยู่ในฐานะที่จะยืนยันข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ได้ จำเลยกับนางบรรจงศรีพี่สาวจำเลยซึ่งเป็นญาติใกล้ชิดและน่าจะทราบความเป็นมาของที่ดินพิพาทได้ดียังเบิกความขัดแย้งกันอย่างเป็นพิรุธ จำเลยเบิกความว่าการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างนายเพลกับนายสุขไม่มีการทำหลักฐานเป็นหนังสือ แต่นางบรรจงศรีกลับเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า มีหลักฐานเป็นหนังสือ ที่จำเลยอ้างว่าบ้านหลังใหม่ของจำเลยมีสภาพมั่นคงแข็งแรง และจำเลยมีสำเนาทะเบียนบ้านมาแสดงให้เห็นว่าจำเลยได้ขอเลขบ้านสำหรับบ้านที่ปลูกใหม่ต่อทางราชการด้วยนั้น ก็ไม่ปรากฏจากทางนำสืบของจำเลยว่าบ้านหลังเดิมของนายเพลที่จำเลยรื้อถอนออกไปมีสภาพเป็นอย่างไร ทั้งจำเลยมิได้นำสืบให้ปรากฏว่านายเพลได้ขอเลขบ้านไว้ การที่จำเลยปลูกบ้านหลังใหม่แทนหลังเดิมกลับทำให้เห็นว่าบ้านหลังเดิมที่นายเพลเป็นผู้ปลูกน่าจะมีสภาพที่ไม่เหมาะแก่การอยู่อาศัยนัก แนวกั้นเขตที่ดินพิพาทจะมีมาแต่เดิมอย่างไรหรือไม่ จำเลยซึ่งน่าจะทราบเรื่องดีที่สุดก็มิได้เบิกความถึง แต่ในข้อนี้โจทก์มีนายนอบ และนางลำใยซึ่งมีบ้านและครอบครองที่ดินติดที่พิพาทเป็นพยานเบิกความว่า ต้นมะขามที่ปลูกเป็นแนวด้านทิศตะวันตกของที่ดินพิพาทนายนอบเป็นผู้ปลูก ส่วนแนวรั้วสังกะสีด้านทิศเหนือของที่ดินพิพาทนางลำใยเพิ่งทำขึ้นภายหลังซึ่งตามภาพถ่ายบ้านปรากฏว่ามีรั้วสังกะสีอยู่จริง จำเลยยังเบิกความยอมรับว่านายเพลเคยอาศัยอยู่ในที่ดินของกำนันเชื้อมาก่อน และได้ความจากนายสนัดพยานจำเลยที่เบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านต่อไปว่า นายเพลย้ายมาอยู่ในที่ดินพิพาทเนื่องจากกำนันเชื้อต้องการใช้ประโยชน์ที่ดินของต้น พฤติการณ์จึงน่าเชื่อว่า นายเพลมีเหตุจำเป็นที่ต้องมาขออาศัยนายสุขปลูกบ้านอยู่ในที่ดินพิพาท ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้นายทองหล่อพยานโจทก์ก็เบิกความทำนองเดียวกันและยืนยันว่านายเพลมาขออาศัยนายสุขปลูกบ้านนายทองหล่อมีบ้านอยู่ใกล้ที่ดินพิพาท ทั้งได้ความว่านายทองหล่อได้ช่วยนายเพลปลูกบ้านในที่ดินพิพาทด้วย พยานโจทก์ปากนี้จึงน่าจะทราบได้ดีว่าสิทธิของนายเพลมีอยู่หรือไม่เพียงใด ดังนี้ จึงเห็นว่า พยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบมายังไม่มีน้ำหนักหักล้างข้อสันนิษฐานตามกฎหมายที่เป็นคุณอยู่แก่โจทก์ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบว่า นายเพลปลูกบ้านอยู่ในที่ดินพิพาทโดยขออาศัยสิทธิของนายสุข จำเลยอยู่ในที่ดินพิพาทสืบต่อจากนายเพล จึงตกอยู่ในฐานะเป็นผู้อาศัยเช่นเดียวกับนายเพล แม้โจทก์จะมิได้ห้ามปรามขณะจำเลยปลูกบ้านหลังใหม่แทนบ้านหลังเดิมของนายเพล ก็หาทำให้ฐานะของจำเลยที่เป็นเพียงผู้อาศัยเปลี่ยนแปลงไปไม่ เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 จำเลยจึงไม่อาจอ้างว่าจำเลยครอบครองที่ดินอย่างเป็นเจ้าของ และไม่อาจอ้างการครอบครองปรปักษ์ขึ้นยันโจทก์ได้ โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลย ฎีกาของจำเลยในข้ออื่นที่ว่าโจทก์ยอมขายที่ดินบางส่วนให้แก่นายนอบ แต่ไม่ยอมขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลย ไม่เป็นสาระที่จะทำให้ผลของคำวินิจฉัยเปลี่ยนแปลงไป ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน