คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 772/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์มอบเงินแก่จำเลยจำนวนหนึ่งแล้วจำเลยได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้โจทก์ และโจทก์ได้สลักหลังมอบให้จำเลยซึ่งเป็นตัวแทนของโจทก์ในการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยตกลงกันให้จำเลยนำตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวมาหักหนี้ค่าซื้อหลักทรัพย์ที่โจทก์ค้างชำระ ดังนี้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่า จำเลยได้ซื้อหลักทรัพย์ให้โจทก์ ตั๋วสัญญาใช้เงินที่จำเลยรับไว้ จึงปราศจากมูลหนี้ที่โจทก์จะต้องชำระแก่จำเลย จำเลยจึงไม่เป็นผู้ทรง และมีตั๋วสัญญาใช้เงินไว้ในครอบครองโดยฐานเป็นผู้รับเงินคงเป็น เพียงผู้ยึดถือตั๋วสัญญาใช้เงินไว้แทนโจทก์เท่านั้น โจทก์ยังคงเป็น ผู้ทรงและมีสิทธิฟ้องเรียกเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินจากจำเลยผู้สั่งจ่ายได้ ตั๋วสัญญาใช้เงินถึงกำหนดใช้เงินวันที่ 4 พฤษภาคม 2523 โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2525 ยังไม่พ้นเวลา 3 ปี นับแต่วันตั๋วเงินถึงกำหนดใช้เงิน ฟ้องโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1001

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยออกตั๋วสัญญาใช้เงินโดยสัญญาว่าจะจ่ายเงินจำนวน 69,659.65 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ ครั้นถึงวันครบกำหนดจำเลยผิดสัญญาชำระเงินแก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินกับดอกเบี้ยแก่โจทก์ จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงตั๋วสัญญาใช้เงินตามฟ้อง โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง คดีโจทก์ขาดอายุความแล้ว ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ 69,659.65 บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับพิพาทให้โจทก์ และโจทก์ได้สลักหลังมอบให้จำเลยซึ่งเป็นตัวแทนของโจทก์ในการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมีข้อตกลงกันให้จำเลยนำตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวมาหักชำระหนี้ค่าหลักทรัพย์ที่โจทก์ค้างชำระ และโจทก์จำเลยตกลงให้ศาลรับฟังข้อเท็จจริงในคดีหมายเลขแดงที่ 11444/2525 ของศาลชั้นต้น ข้อเท็จจริงในคดีดังกล่าวศาลชั้นต้นเห็นว่า ไม่มีหลักฐานการแจ้งผลการซื้อขายหลักทรัพย์ให้ผู้สั่งซื้อทราบ ฟังไม่ได้ว่าจำเลยในคดีนี้ได้ซื้อหลักทรัพย์ให้โจทก์ในคดีนี้ตามคำสั่ง พิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุด ดังนั้น ข้อเท็จจริงในคดีดังกล่าวจึงผูกพันโจทก์จำเลยในคดีนี้ ปัญหาวินิจฉัยมีว่า จำเลยจะต้องรับผิดชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่โจทก์หรือไม่ ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ได้นำตั๋วสัญญาใช้เงินโดยโจทก์สลักหลังมอบให้จำเลย เป็นการชำระหนี้ค่าหลักทรัพย์ที่โจทก์สั่งซื้อไปแล้ว ความเป็นผู้ทรงตั๋วสัญญาใช้เงินของโจทก์จึงหมดไปนั้น เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้ซื้อหลักทรัพย์ให้โจทก์ตามคำสั่งตั๋วสัญญาใช้เงินที่จำเลยรับไว้จึงปราศจากมูลหนี้ที่โจทก์จะต้องชำระแก่จำเลย กรณีจึงไม่ถือว่าจำเลยเป็นผู้ทรงและมีตั๋วสัญญาใช้เงินไว้ในครอบครองโดยฐานเป็นผู้รับเงิน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 904 จำเลยเป็นเพียงผู้ยึดถือตั๋วสัญญาใช้เงินไว้แทนโจทก์เท่านั้น โจทก์ยังคงเป็นผู้ทรงและมีสิทธิฟ้องเรียกเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินจากจำเลยผู้สั่งจ่ายได้ จำเลยจึงต้องรับผิดชำระเงินให้โจทก์ตามฟ้อง
ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ได้สลักหลังตั๋วสัญญาใช้เงินมอบให้จำเลยเป็นการกระทำตามอำเภอใจเหมือนหนึ่งว่าเพื่อชำระหนี้โดยรู้ว่าตนไม่มีความผูกพันที่จะต้องชำระ จึงไม่มีสิทธิที่จะเรียกเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินจากจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา407 นั้น เห็นว่า จำเลยมิได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้คดีไว้ในคำให้การ หาใช่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นไม่ ศาลฎีกาจึงรับวินิจฉัยให้ไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249
ที่จำเลยฎีกาว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความนั้น ปรากฏว่า ตั๋วสัญญาใช้เงินพิพาทถึงกำหนดใช้เงินในวันที่ 4 พฤษภาคม 2523 โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2525 ยังไม่พ้นเวลา 3 ปี นับแต่วันตั๋วถึงกำหนดใช้เงิน ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1001 ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 600 บาทแทนโจทก์

Share