แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมียไปทำสัญญาโอนทรัพย์ซึ่งเป็นสินบริคณห์ให้แก่ผู้อื่นโดยผัวมิได้รู้เห็นยินยอมด้วยผัวมีอำนาจบอกล้างสัญญานั้นเสียได้ สัญญากู้หนี้ที่เมียทำลงโดยผัวไม่ทราบแลมิได้ยินยอมด้วย สัญญานั้นยอมไม่ผูกพันสินบริคณห์ พฤตติการณ์อย่างไรไม่ฟังว่าเป็นการให้สัตยาบัน การพูดโต้ตอบกันจะเป็นการให้สัตยาบันแก่นิติกรรมที่เป็นโมฆียะหรือไม่นั้น ต้องแล้ว แต่ข้อเท็จจริงแห่งพฤตติการณ์เป็นเรื่อง ๆไป การใดจะเป็นนิติกรรมต้องมีเจตนาแท้จริงจะผูกนิติสัมพันธ์
ย่อยาว
เดิมนางเลี่ยนภรรยาโจทก์ได้กู้เงินจำเลยไป ๒๐๐๐ บาท แล้วเอาทีสวนโฉนดที่ ๕๕๒๒ ซึ่งเป็นสินเดิมของนางเลี่ยนและได้เอามาบริคณห์ในวันแต่งงานกับโจทก์มาให้จำเลยยึดไว้เป็นประกัน ในที่สุดได้โอนให้เป็นกรรมสิทธิแก่จำเลยโดยโจทก์ไม่ทราบแลมิได้รู้เห็นยินยอมในการกู้และการโอนนี้ โจทก์จึงฟ้องขอให้ทำลายสัญญากู้แลสัญญาโอน
ศาลเดิมวินิจฉัยว่าที่พิพาทนี้เป็นสินบริคณห์และโจทก์มิได้รู้เห็นยินยอมด้วยในการโอน จึงพิพากษาว่าการกู้แลการโอนเป็นโมฆะ ให้จำเลยโอนที่คืนให้นางเลี่ยนและเป็นสินบริคณห์ตามสภาพเดิม
ศาลอุทธณ์พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าที่พิพาทนี้เป็นสินบริคณห์และโจทก์มิ่ได้รู้เห็นยินยอมด้วยในการโอน จึงพิพากษาว่าการกู้แลการโอนเป็นโมฆะ ให้จำเลยโอนที่คืนให้นางเลี่ยนและเป็นสินบริคณห์ตามสภาพเดิม
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกฟอ้งโจทก์
ศาลฎีกาวินิจฉัยทำนองเดียวกับศาลเดิม ส่วนข้อที่ว่าโจทก์ได้ให้สัตยาบันหรือไม่นั้น ฟังว่าภายหลังเป็นหนี้เป็นหนี้สักปีเศษ จำเลยว่าได้พบแลพูดกับโจทก์ในระวางโดยสานรถไฟว่านางเลี่ยนเป็นหนี้และไม่ชำระหนี้โจทก์ตอบว่าเวลานี้ยังหาเงินอยู่ ศาลฎีกาเห็นว่าพฤตติการณ์เพียงเท่านั้นหาพอที่จะถือว่าโจทก์ได้อนุญาตหรือให้สัตยาบันไม่ ทั้งการโอนที่รายนี้จำเลยก็รับว่ามิได้บอกให้โจทก์ทราบ จึงพิพากษายืนตามศาลเดิม ในข้อที่ว่าการโอนที่สวนเป็นโมฆียะ แต่ข้อที่นางเลี่ยนกู้เงินจำเลยนั้น ให้แก้เป็นว่าการกู้มิพึงจะผูกพันสินบริคณห์ได้