แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องของโจทก์นั้นเคลือบคลุมขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง แต่คำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์มิได้อุทธรณ์โต้แย้งว่าคำฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุมเพราะเหตุใด. เพิ่งจะมายกขึ้นกล่าวในชั้นฎีกา. ดังนี้ จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249.
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบุตรนายเสนซึ่งมีจำเลยเป็นภรรยาหลวงแต่ไม่มีบุตร ส่วนนางอ่ำ เป็นภรรยาน้อยมีบุตรด้วยกันคนเดียวคือโจทก์ โจทก์ใช้นามสกุล “สีกุหลาบ” โดยนายเสนตั้งให้และรับรองโจทก์ว่าเป็นบุตร นางอ่ำมารดาโจทก์ตายเมื่อ 37 ปีแล้วส่วนนายเสนตายเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2507 โดยมิได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินให้ผู้ใด หากจะมีพินัยกรรมยกทรัพย์สินให้จำเลย พินัยกรรมก็ไม่มีผลที่จะบังคับได้ตามกฎหมาย เพราะขาดคำว่าเพื่อตาย เป็นเพียงยกให้ที่มิได้จดทะเบียน โจทก์มีสิทธิรับมรดกของนายเสนในฐานะทายาทโดยธรรมหนึ่งในสี่ ก่อนตายนายเสนมีทรัพย์สินเมื่อรวมแล้วเป็นส่วนของโจทก์ 9,500 บาท หรือที่ดินจำนวน 15 ไร่ 2 งาน 99 ตารางวาจึงขอให้โจทก์มีส่วนได้รับมรดกดังกล่าวด้วย จำเลยให้การว่า เป็นภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายของนายเสน นายเสนยกทรัพย์มรดกทั้งหมดให้จำเลยผู้เดียว เป็นพินัยกรรมที่สมบูรณ์ตามกฎหมาย โจทก์ฟ้องเกี่ยวกับพินัยกรรมของนายเสนเป็น 2 นัยเคลือบคลุมขัดกัน พินัยกรรมของนายเสนฉบับดังกล่าว โจทก์ได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาหาว่าจำเลยปลอม ศาลพิพากษายกฟ้อง คดีนี้จึงต้องฟังข้อเท็จจริงตามคดีอาญา คู่ความแถลงรับกันตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 25กุมภาพันธ์ 2508 ว่าโจทก์ได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญา ในข้อหาว่าปลอมเอกสารและแจ้งความเท็จ ศาลพิพากษายกฟ้องของโจทก์ทุกข้อหาโดยฟังข้อเท็จจริงว่า พินัยกรรมที่โจทก์ฟ้องนั้นสมบูรณ์ตามกฎหมายโจทก์แถลงว่าจะได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาคดีอาญาต่อไป จำเลยยื่นคำร้องลงวันที่ 20 มกราคม 2509 ว่า ฟ้องของโจทก์เรื่องพินัยกรรมเคลือบคลุม ไม่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรค 2 ขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นกับแถลงว่า คดีอาญาที่พิพาทกันเรื่องพินัยกรรมถึงที่สุดแล้ว โดยศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า เจ้ามรดกทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินให้จำเลยทั้งหมด ศาลชั้นต้นได้เรียกสำนวนคดีอาญาดังกล่าวมาตรวจดู และเห็นว่าคดีพอจะวินิจฉัยได้ให้งดสืบพยาน นัดฟังคำพิพากษาวันที่ 1 กุมภาพันธ์2509 ถ้าโจทก์จะโต้แย้งให้ยื่นภายใน 7 วัน วันที่ 27 มกราคม 2509 โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันเดียวกันนี้ว่า การพิจารณาคดีนี้เป็นอันสิ้นสุดลงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 187ให้ยกคำร้อง ครั้นวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2509 ศาลชั้นต้นได้พิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยว่า คำฟ้องของโจทก์แสดงสภาพข้อหาเป็น 2 ประการ เป็นฟ้องเคลือบคลุม โจทก์อุทธรณ์ว่า คดียังไม่มีการชี้สองสถาน โจทก์มีสิทธิแก้ฟ้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 180 ตามฟ้องและคำร้องขอแก้ฟ้องโจทก์แสดงสภาพแห่งข้อหาโดยชัดแจ้งเพียงประเด็นเดียวว่า นายเสนทำหนังสือยกทรัพย์มรดกทั้งหมดให้กับจำเลย แต่ยังไม่ได้จดทะเบียนการให้กันให้ถูกต้องตามกฎหมาย การให้จึงไม่สมบูรณ์ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม ขอให้สั่งอนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้องและให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า อุทธรณ์คำสั่งที่ไม่อนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้องนั้น โจทก์ไม่ได้โต้แย้งคำสั่งศาลไว้ อุทธรณ์ไม่ได้ไม่รับอุทธรณ์ข้อนี้ นอกนั้นรับเป็นอุทธรณ์ โจทก์มิได้อุทธรณ์คำสั่งที่ศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์บางข้อดังกล่าว ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ในปัญหาเรื่องฟ้องเคลือบคลุม อุทธรณ์ของโจทก์มิได้ยกข้อโต้เถียงคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้น คงอุทธรณ์แต่เพียงว่า ตามคำฟ้องของโจทก์ที่ขอแก้ไขใหม่ ไม่เคลือบคลุมแต่คำร้องที่ขอแก้ฟ้องของโจทก์ ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งยกไป และถึงที่สุด โดยศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้และโจทก์ไม่ได้อุทธรณ์คำสั่ง อุทธรณ์ของโจทก์จึงไม่มีประเด็นที่จะวินิจฉัยพิพากษาให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์ โจทก์ฎีกาว่าฟ้องโจทก์สมบูรณ์ ที่ศาลอุทธรณ์กล่าวว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นถึงที่สุดจึงไม่ชอบ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รับฎีกาเกี่ยวกับคำพิพากษาอย่างเดียวส่วนฎีกาเกี่ยวกับคำสั่งแก้ฟ้องถึงที่สุดแล้วแต่ศาลชั้นต้น มิได้ว่ากันมาในชั้นอุทธรณ์ จึงไม่รับฎีกาในปัญหาข้อนี้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 โจทก์มิได้อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวนี้ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าฎีกาของโจทก์มีใจความเป็นการโต้แย้งว่าคำฟ้องเดิมของโจทก์แม้ยังไม่ได้แก้ไข ก็ไม่เคลือบคลุม แต่ข้อนี้มิได้ว่ากล่าวกันมาในชั้นอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาที่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ซึ่งศาลฎีกาวินิจฉัยในประเด็นแห่งฎีกาให้ไม่ได้ พิพากษายกฎีกาโจทก์.