คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 765/2551

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การขอเฉลี่ยทรัพย์ผู้ร้องไม่จำเป็นต้องแสดงหลักฐานว่าทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาที่ตนได้ยึดไว้หากนำออกขายทอดตลาดจะได้ราคาแน่นอนเท่าใด เหลือหนี้ที่จำเลยจะต้องชำระเป็นจำนวนที่แน่นอนอีกเพียงใด เพียงแต่ผู้ร้องนำสืบว่าทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่พอชำระหนี้ของผู้ร้องโดยสิ้นเชิงก็ย่อมเพียงพอที่ผู้ร้องจะมาขอเฉลี่ยทรัพย์ได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมให้จำเลยชำระเงินจำนวน 196,515 บาท แก่โจทก์ แต่จำเลยไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าว โจทก์ขอให้บังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดีอายัดเงินฝากของจำเลยบัญชีเลขที่ 251-239519-1 ที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาท่าแพ ซึ่งมีเงินฝากอยู่จำนวน 245,435.74 บาท เพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษา
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ศาลจังหวัดเชียงใหม่พิพากษาตามยอมให้จำเลยชำระหนี้แก่ผู้ร้องรวม 6 คดี ซึ่งแต่ละคดีถึงที่สุดแล้วแต่จำเลยไม่ชำระหนี้ให้แก่ผู้ร้อง ผู้ร้องนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินที่จำเลยจำนองไว้ออกขายทอดตลาด แต่ทรัพย์จำนองเมื่อนำออกขายทอดตลาดได้เงินไม่พอชำระหนี้ และผู้ร้องยังไม่ได้รับเงินจากการขายทอดตลาด ผู้ร้องไม่สามารถเอาชำระได้จากทรัพย์สินอื่นของจำเลย ผู้ร้องทราบว่าโจทก์ได้อายัดเงินฝากของจำเลยไว้ จึงขอให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้ร้องเข้าเฉลี่ยในเงินที่อายัดดังกล่าวตามส่วน
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า จำเลยยังมีทรัพย์อื่นที่จำนองไว้แก่ผู้ร้องและผู้ร้องยังสามารถเอาทรัพย์ที่จำนองออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ให้แก่ผู้ร้องได้จนครบ การขายทอดตลาดทรัพย์จำนองยังไม่แล้วเสร็จ จึงไม่อาจรู้ได้แน่นอนว่าทรัพย์สินของจำเลยไม่พอชำระหนี้แก่ผู้ร้อง ผู้ร้องไม่มีเจตนาสืบหาทรัพย์ของจำเลยเพื่อนำมาชำระหนี้ ผู้ร้องมายื่นคำร้องขอเฉลี่ยหนี้เป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ อนุญาตให้ผู้ร้องมีสิทธิเฉลี่ยจากเงินของจำเลยที่ถูกเจ้าพนักงานบังคับคดีอายัดไว้ตามสัดส่วนที่จำเลยยังเป็นหนี้ผู้ร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยเป็นลูกหนี้ผู้ร้องตามคำพิพากษาหลายคดีและไม่ชำระหนี้ ผู้ร้องจึงขอให้ศาลออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อยึดทรัพย์ของจำเลยออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดที่ดินที่จำเลยกับพวกจำนองเป็นประกันหนี้ไว้แก่ผู้ร้องหลายแปลง ที่ดินบางแปลงได้ถูกนำออกขายทอดตลาดแต่ยังขายไม่ได้และที่ดินบางแปลงยังไม่มีผู้ประมูลซื้อจากการขายทอดตลาด ต่อมาผู้ร้องได้ยื่นคำร้องเป็นคดีนี้ขอเฉลี่ยทรัพย์เงินฝากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาท่าแพ บัญชีเลขที่ 251-239519-1 จำนวน 245,435.74 บาท
โจทก์ฎีกาประการแรกว่า ผู้ร้องมีภาระที่จะต้องพิสูจน์ให้เห็นถึงความมีอยู่จริงของทรัพย์สินของจำเลยที่ถูกยึด แต่ผู้ร้องไม่เสนอพยานหลักฐานให้ศาลเห็นว่าในคดีนี้มีการยึดหรืออายัดเงินฝากของจำเลยหรือไม่ อย่างไร เท่ากับผู้ร้องไม่นำสืบให้ศาลเห็นว่าตนมีสิทธิครบตามเงื่อนไของค์ประกอบของกฎหมาย จึงไม่สมควรให้ผู้ร้องได้เฉลี่ยทรัพย์นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า การอายัดเงินฝากของจำเลยที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาท่าแพ เป็นการกระทำของเจ้าพนักงานบังคับคดีในฐานะเป็นผู้แทนโจทก์เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา จึงเห็นได้ว่าโจทก์จะต้องรู้อยู่แล้วว่ามีการอายัดเงินฝากในบัญชีเงินฝากประจำของจำเลยแล้วเป็นอย่างดี เมื่อผู้ร้องขอเฉลี่ยเงินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีอายัดไว้เพื่อเอาชำระหนี้ โจทก์ก็ได้รับสำเนาคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ไว้แล้ว และยื่นคำคัดค้านโดยไม่ปฏิเสธว่า โจทก์ไม่ได้ขออายัดเงินของจำเลยไว้ เพียงแต่อ้างว่า ยังมีทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ผู้ร้องอาจนำออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ได้ และอ้างว่าผู้ร้องไม่มีเจตนาสืบหาทรัพย์สินอย่างอื่นของจำเลยมาชำระหนี้ตามคำพิพากษาเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต… ฯลฯ เท่ากับโจทก์ไม่ปฏิเสธว่าได้มีการอายัดเงินฝากของจำเลยไว้ ผู้ร้องจึงไม่จำต้องนำสืบถึงเรื่องที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้อายัดเงินฝากของจำเลยไว้แล้วอีก แม้ผู้ร้องจะไม่ส่งหลักฐานที่แสดงว่ามีการอายัดเงินฝากของจำเลยไว้ก็ไม่ทำให้โจทก์เสียเปรียบแต่อย่างใด ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ไม่ปฏิเสธว่ามีการส่งเงินฝากของจำเลยที่ถูกอายัดไว้เข้ามาในคดีนี้ จึงฟังได้ว่า มีเงินของจำเลยถูกส่งเข้ามาในคดีนี้ตามที่เจ้าพนักงานบังคับคดีอายัดไว้โดยไม่จำต้องนำสืบแสดงหลักฐานให้ปรากฏว่ามีเงินของจำเลยที่ถูกอายัดไว้ในคดีนี้อีกแต่อย่างใด ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
โจทก์ฎีกาต่อมาว่า ผู้ร้องอ้างเพียงว่ามียอดหนี้สูงกว่าราคาทรัพย์จำนองโดยนำราคาประเมินของเจ้าพนักงานมาแสดงประกอบเท่านั้น แต่การซื้อขายทอดตลาดทรัพย์จำนองเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจอาจขายได้สูงกว่าราคาประเมิน การกล่าวอ้างของผู้ร้องเป็นการกล่าวอ้างลอยๆ … ฯลฯ นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ในการขอเฉลี่ยทรัพย์ผู้ร้องไม่จำเป็นต้องแสดงหลักฐานว่า ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาที่ตนได้ยึดไว้หากนำออกขายทอดตลาดจะได้ราคาแน่นอนเท่าใด เหลือหนี้ที่จำเลยจะต้องชำระเป็นจำนวนที่แน่นอนอีกเพียงใด เพียงแต่ผู้ร้องนำสืบว่า ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่พอชำระหนี้ของผู้ร้องโดยสิ้นเชิงก็ย่อมเพียงพอที่ผู้ร้องจะมาขอเฉลี่ยทรัพย์ได้แล้ว ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ที่โจทก์ฎีกาประการสุดท้ายว่า โจทก์เป็นเจ้าหนี้ไม่มีประกันแต่สืบหาทรัพย์สินของจำเลยจนพบว่ามีเงินฝากที่ธนาคารผู้ร้อง โจทก์จึงขออายัดเงินฝากที่ธนาคาร ผู้ร้องกลับอ้างว่าไม่สามารถสืบหาและพบทรัพย์สินอื่นใดของจำเลยทั้งที่เป็นผู้ร้บฝากเงินจากจำเลยและไม่ดำเนินการใดๆ กับเงินจำนวนดังกล่าวจวบจนเมื่อโจทก์ใช้สิทธิอายัดเงินจำนวนนี้แล้วผู้ร้องกลับมาขอเฉลี่ยหนี้จากเงินดังกล่าวเท่ากับผู้ร้องใช้สิทธิโดยไม่สุจริตนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ผู้ร้องย่อมได้ประโยชน์จากข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่ากระทำการโดยสุจริต เมื่อโจทก์อ้างว่าผู้ร้องใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์ย่อมมีภาระพิสูจน์ แต่โจทก์กลับไม่นำพยานหลักฐานมาสืบแสดงให้ศาลเห็นว่าผู้ร้องใช้สิทธิโดยไม่สุจริตจริงหรือไม่ และอย่างไร ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นเดียวกัน ที่ศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ผู้ร้องเข้าเฉลี่ยทรัพย์จากเงินของจำเลยที่เจ้าพนักงานบังคับคดีอายัดไว้ตามสัดส่วนที่จำเลยยังเป็นหนี้ผู้ร้องเป็นคำวินิจฉัยที่ชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share