แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
หน้าที่นำสืบความสันนิษฐาน จำเลยเบิกความที่อำเภออย่างหนึ่ง มาเบิกความที่ศาลอีกอย่างหนึ่ง โจทก์ต้องสืบว่าคำของจำเลยตอนไหนเปนเท็จ จะสันนิษฐานเอาเองไม่ได้ พ.ร.บ.ฎีกาอุทธรณ์ ข้อกฎหมายปัญหาที่ว่าพะยานหลักฐานของโจทก์ที่สืบมาพังลงโทษจำเลยได้หรือไม่ เปนปัญหาข้อกฎหมาย
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์หาว่าจำเลยแจ้งความเท็จต่ออำเภอว่า จำเลยเห็น น.วางเพลิงเผาโรงของ ค. เจ้าพนักงานหลงเชื่อจึงจับ น.มาฟ้องต่อศาล จึงขอให้ลงโทษจำเลยตาม ม.๑๑๘ – ๑๕๘
ศาลล่างทั้ง ๒ ตัดสินว่าโจทก์มิได้นำสืบว่าถ้อยคำของจำเลยเปนเท็จตรงไหน เปนแต่ส่งคำให้การของจำเลยและสืบเจ้าพนักงานประกอบว่าจำเลยให้การดังนั้นเช่นนี้ จะฟังลงโทษจำเลยยังไม่ได้ จึงให้ยกฟ้องโจทก์ปล่อยจำเลย
โจทก์ฎีกาเปนข้อกฎหมายว่า หลักฐานที่โจทก์นำสืบมานั้นพอลงโทษจำเลยตาม ม.๑๑๘ ได้แล้ว
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เพียงแต่ปรากฏว่าจำเลยให้การที่อำเภออย่างหนึ่ง แล้วมาให้การที่ศาลอีกอย่างหนึ่ง โจทก์มิได้นำสืบว่าคำให้การของจำเลยที่อำเภอเปนเท็จ โดยจะให้สันนิษฐานเอาเองดังนี้ หลักฐานโจทก์ยังไม่พอจะฟังลงโทษจำเลยได้ ตามฎีกาที่ ๑๕๗/๖๓ จึงตัดสินยืนตามศาลล่าง