แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
คำร้องขอของผู้ร้องระบุเนื้อที่ดินที่ผู้ร้องครอบครองปรปักษ์มาว่าประมาณ 50 ตารางวา ปรากฏความกว้างยาว และรูปที่ดินพิพาทตามแผนที่สังเขปท้ายคำร้องส่วนที่ระบายไว้ด้วยสีม่วงหรือแผนที่พิพาทนั้นเป็นการกะประมาณเอาเนื้อที่ที่แท้จริงของที่ดินอาจมากกว่าหรือน้อยกว่า50 ตารางวาก็เป็นไป ความสำคัญอยู่ที่เนื้อที่ดินส่วนที่ระบายไว้ด้วยสีม่วงในแผนที่สังเขปท้ายคำร้องซึ่งผู้ร้องครอบครองจนได้กรรมสิทธิ์นั้นว่ามีเท่าใดเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าพนักงานเจ้าหน้าที่ของกรมที่ดินทำการรังวัดที่ดินพิพาทตามหลักวิชาการแผนที่ ปรากฏว่ามีเนื้อที่ 1 งาน ก็ต้องถือว่าเป็นเนื้อที่ของที่ดินที่ผู้ร้องเรียกร้องนั่นเอง การที่ศาลพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเนื้อที่ 1 งาน ตามแผนที่พิพาทเป็นของผู้ร้องจึงไม่เกินคำร้องขอและคำขอท้ายคำร้องขอ
ย่อยาว
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า เดิมที่ดินโฉนดเลขที่ 2920ตำบลท่าราบ อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี เป็นกรรมสิทธิ์ของนายหนู่และนางจับ เมื่อประมาณ 50 ปี นางหนู นางคำและนางบุญซื้อที่ดินดังกล่าวจากนายหนูและนางจับ เนื้อที่ประมาณ3 ไร่ นางหนู นางคำ และนางบุญ ได้เข้าครอบครองที่ดินโดยปลูกบ้านอยู่อาศัย เมื่อประมาณ 20 ปี นางหนูได้แบ่งที่ดินให้บุตรเป็นสัดส่วน โดยนางเจริญซึ่งเป็นมารดาผู้ร้องได้รับที่ดินเนื้อที่ประมาณ 50 ตารางวา ปรากฏตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องที่ระบายด้วยสีม่วง ที่ดินส่วนที่ได้รับนี้อยู่ระหว่างที่ดินของนายอุดม นางทองใบ และผู้คัดค้านที่ 1 เมื่อประมาณ 10 ปีมารดาผู้ร้องได้ยกที่ดินและบ้านให้ผู้ร้อง ผู้ร้องครอบครองต่อมาโดยความสงบ และโดยเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลากว่า10 ปีแล้ว ขอให้มีคำสั่งว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 2920 ตำบลท่าราบอำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี ตามแผนที่สังเขปท้ายคำร้องเนื้อที่ประมาณ 50 ตารางวา เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง
ผู้คัดค้านทั้งสองยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านทั้งสองและนายอุดม โภชนพันธ์ ได้รับโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 2920 ตำบลท่าราบอำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี โดยการให้จากนางอบ พาหาตั้งแต่วันที่ 14 กันยายน 2513 ต่อมาผู้คัดค้านที่ 1 ได้อนุญาตให้มารดาผู้ร้องปลูกบ้านอาศัยอยู่ในที่ดินส่วนที่เป็นของผู้ร้องเมื่อมารดาผู้ร้องตาย ผู้ร้องก็ยังคงอาศัยอยู่ต่อมาโดยไม่มีสิทธิเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 2920 ตำบลท่าราบอำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี เนื้อที่ 1 งาน ตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.4 เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382
ผู้คัดค้านทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้คัดค้านทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทปรากฏตามแผนที่สังเขปท้ายคำร้องเอกสารหมาย ร.2ส่วนที่ระบายไว้ด้วยสีม่วงหรือตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย ร.4แผ่นที่ 2 ตามแนวเส้นสีแดงเนื้อที่ 1 งาน ปัญหาที่ขึ้นมาสู่ศาลฎีกาตามฎีกาของผู้คัดค้านทั้งสองเฉพาะข้อกฎหมายว่าที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าที่ดินที่ผู้ร้องครอบครองเนื้อที่ 1 งาน ตามแผนที่พิพาทเอกสาร ร.4 เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 ซึ่งมีเนื้อที่ดินเกินไปจากคำขอท้ายคำร้องขอของผู้ร้องขอของผู้ร้องนั้นเป็นการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า การที่คำร้องขอของผู้ร้องระบุเนื้อที่ดินพิพาทที่ผู้ร้องครอบครองมาว่าประมาณ50 ตารางวา ปรากฏความกว้างยาวและรูปที่ดินพิพาทตามแผนที่สังเขปท้ายคำร้องส่วนที่ระบายไว้ด้วยสีม่วงนั้นเป็นการกะประมาณเอาเนื้อที่ที่แท้จริงของที่ดินพิพาทอาจมากกว่าหรือน้อยกว่า 50 ตารางวาก็เป็นได้ ความสำคัญอยู่ที่เนื้อที่ดินส่วนที่ระบายไว้ด้วยสีม่วงในแผนที่สังเขปท้ายคำร้องซึ่งผู้ร้องครอบครองจนได้กรรมสิทธิ์นั้นว่ามีเท่าใด เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าพนักงานเจ้าหน้าที่ของกรมที่ดินทำการรังวัดที่ดินพิพาทตามหลักวิชาการแผนที่ ปรากฏว่ามีเนื้อที่ 1 งาน ก็ต้องถือว่าเป็นเนื้อที่ของที่ดินที่ผู้ร้องเรียกร้องนั่นเองซึ่งไม่เกินคำร้องขอและคำขอท้ายคำร้องขอของผู้ร้องคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว”
พิพากษายืน