แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ที่ได้ครอบครองที่บ้านที่สวนอยู่โดยมือเปล่าก่อนมีป.ม.ก.ม.แพ่งและพาณิชย์และ ก.ม.ว่าด้วยการออกโฉนดที่ดินนั้น ได้รับความคุ้มครองตาม ก.ม.ลักษณะเบ็ดเสร็จบทที่ 42 คือสละที่ดินไปยังไม่ถึง 9 ปี 10 ปี ก็ยังไม่ขาดสิทธิในที่นั้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่ากู้เงินจำเลย ๑๐๐ บาท มอบที่ดินบ้านให้จำเลยครอบครองต่างดอกเบี้ย บัดนี้จำเลยไปขอจดทะเบียนทรัพย์สิทธิต่ออำเภอ โจทก์ไปคัดค้านไว้แล้ว จึงขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยรับชำระเงิน ๑๐๐ บาท คืนที่พิพาทให้โจทก์
จำเลยต่อสู้ว่า โจทก์ขายที่พิพาทให้จำเลยที่ ๑ เป็นเงิน ๑๐๐ บาท จำเลยได้เข้าครอบครองตลอดมา
ศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยครอบครองที่พิพาทมา ๖-๗ ปี ย่อมได้สิทธิครอบครองโดยอำนาจปรปักษ์ จึงพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า สิทธิของเจ้าของที่บ้านที่สวนมือเปล่าเป็นแต่สิทธิครอบครองเท่านั้น เพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติให้เจ้าของมีกรรมสิทธิ คดีนี้ควรฟังได้ว่า โจทก์ได้ขายที่พิพาทให้จำเลยและส่งมอบให้จำเลยครอบครองแล้ว จำเลยย่อมได้สิทธิครอบครองที่พิพาทไว้ต่อไป โจทก์จะเอาคืนไม่ได้คงพิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่ เห็นว่าผู้ที่ได้ครอบครองที่บ้านที่สวนอยู่โดยมือเปล่านั้น ได้รับความคุ้มครองตาม ก.ม.ลักษณะเบ็ดเสร็จบทที่ ๔๒ ว่า “ถ้าซัดที่เสียช้านานถึง ๙ ปี -๑๐ ปี”จึงใหขาดสิทธิในที่นั้น และคดีเรื่องนี้ทางพิจารณาไม่ปรากฎว่า โจทก์ได้เข้าครอบครองที่พิพาทมาตั้งแต่เมื่อใด ถ้าโจทก์เข้าถือเอาที่รกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน ภายหลังที่ได้มี ป.ม.ก.ม.แพ่งฯ และพาณิชย์ และกฎหมายว่าด้วยการออกโฉนดที่ดินแล้ว ปัญหาอาจเป็นไปได้อีกทางหนึ่ง แต่ในเรื่องนี้ ทั้งจำเลยก็ไม่ได้ต่อสู้ถึงสิทธิเดิมของโจทก์ จำเลยกลับยอมรับว่าจำเลยซื้อที่พิพาทจากโจทก์ คดีจึงไม่มีประเด็นที่จะต้องพิจารณาถึงเรื่องสิทธิเดิมของโจทก์ ต้องถือว่าโจทก์ได้รับความคุ้มครองตาม ก.ม.ลักษณะเบ็ดเสร็จบทที่ ๔๒ ฉะนั้นเมื่อโจทก์สละที่พิพาทให้แก่จำเลยยังไม่ถึง ๙ ปี ๑๐ ปี โจทก์ยังไม่ขาดสิทธิในที่พิพาท จำเลยต้องคืนที่พิพาทให้โจทก์ จึงพิพากษากลับ ให้บังคับจำเลยรับชำระเงิน ๑๐๐ บาท และคืนที่พิพาทให้โจทก์