คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 758/2498

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยกล่าวหมิ่นประมาทผู้พิพากษาว่า’อ้ายผู้พิพากษานี่ปรับกูหมื่นห้าพันได้กูจะต้องเตะมึง’ ดังนี้เป็นการดูถูกเหยียดหยามพาดพิงถึงตำแหน่งราชการทำให้ผู้พิพากษาคนนั้นได้รับความอับอายเสียหาย จึงมีผิดฐานหมิ่นประมาทเจ้าพนักงานเพราะเหตุได้กระทำการตามหน้าที่ตาม มาตรา116

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกล่าวถ้อยคำหมิ่นประมาทและเตะชกนายเชิญโกศิน ผู้พิพากษาศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยาขอให้ลงโทษตามกฎหมายอาญา มาตรา 255, 338, 116 จำเลยให้การรับสารภาพศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยผิดตาม มาตรา 116 กระทงหนึ่ง และตาม มาตรา 338(3) อีกกระทงหนึ่ง ให้รวมกระทงลงโทษจำคุก 3 เดือนลดตามมาตรา 59 คงจำคุก 1 เดือน 15 วัน

โจทก์จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกาว่าไม่ผิด มาตรา 116 และแม้ผิดก็ขอให้ยกโทษจำคุก

ศาลฎีกาเห็นว่าการหมิ่นประมาทเจ้าพนักงานตามความในมาตรา 116 ประมวลกฎหมายอาญา ย่อมหมายถึงการหมิ่นประมาทใส่ความหรือสบประมาทดูถูกเหยียดหยามต่อเจ้าพนักงานให้ได้รับความอับอายเสียหาย การที่จำเลยกล่าวต่อนายเชิญ โกศิน ผู้พิพากษาว่า”อ้ายผู้พิพากษานี่ ปรับกูหมื่นห้าพันได้ กูจะต้องเตะมึง” นั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นการดูถูกเหยียดหยามพาดพิงถึงตำแหน่งราชการ ทำให้นายเชิญ โกศินได้รับความอับอายเสียหาย หาใช่เป็นเพียงวาจากักขฬะสามหาวเท่านั้นไม่ ทั้งนี้เนื่องจากการกระทำของนายเชิญ โกศิน ในฐานะเป็นผู้พิพากษาได้สั่งปรับจำเลยฐานผิดสัญญาประกันต่อศาล ฉะนั้นการกระทำของจำเลยจึงเป็นผิดฐานหมิ่นประมาทต่อเจ้าพนักงานเพราะเหตุได้กระทำการตามหน้าที่ตามมาตรา 116 ประมวลกฎหมายอาญา

จำเลยฎีกาขอลดโทษ โดยยกโทษจำคุกหรือรอการลงอาญานั้น เป็นฎีกาข้อเท็จจริงเพราะเกี่ยวกับดุลยพินิจต้องห้าม

จึงพิพากษายืน

Share