คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7496/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดบังคับให้จำเลยเปิดถนนพิพาท โดยให้จำเลยนำแผงเหล็กที่ปิดกั้นออกและขนย้ายวัสดุก่อสร้าง บนถนนพิพาทออกไปให้จำเลยใช้ค่าทดแทนไปจนกว่าจะเปิดถนนพิพาท และขนย้ายวัสดุก่อสร้างเสร็จ จำเลยเพียงแต่ขนย้าย วัสดุก่อสร้างออก เป็นการปฏิบัติส่วนหนึ่งตามคำพิพากษา เท่านั้น แต่จำเลยไม่รื้อรั้วกำแพงที่ปิดกั้นถนนพิพาทออก จึงมีผลเท่ากับจำเลยยังไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาในส่วนที่ ให้เปิดถนนพิพาท และการที่จำเลยที่ 3 สร้างรั้วกำแพงขึ้นใหม่ ในถนนพิพาท เป็นการจงใจก่อเหตุให้โจทก์ไม่สามารถใช้ประโยชน์ จากถนนพิพาทได้โดยปกติสุข ที่ศาลชั้นต้นให้ออกหมายตั้ง เจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อดำเนินการรื้อกำแพงดังกล่าว จึงชอบแล้ว จำเลยได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่า จำเลยได้นำเงินวางศาลชำระค่าเสียหายและขนย้ายแผงเหล็กกับวัสดุก่อสร้างออกไปแล้ว ขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้งดการบังคับคดีแล้วแต่เมื่อศาลชั้นต้นเป็นศาลที่ออกหมายบังคับคดีจึงย่อมมีอำนาจทำคำวินิจฉัยชี้ขาดในเรื่องเกี่ยวกับการบังคับคดีได้ตลอดจนมีอำนาจแก้ไขเปลี่ยนแปลงคำสั่งที่เคยอนุญาตให้งดการ บังคับคดีด้วย การที่ศาลชั้นต้นสอบถามคู่ความทั้งสองฝ่ายแล้วมีคำสั่งว่า จำเลยทั้งสามยังปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกาไม่ครบถ้วน จึงออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อดำเนินการรื้อกำแพงพิพาทตามคำขอของโจทก์ มีผลเท่ากับศาลชั้นต้นได้ยกเลิกคำสั่งที่อนุญาตให้งดการบังคับคดีไปโดยปริยายอยู่แล้ว โดยหาจำต้องให้โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง ศาลชั้นต้นที่ให้เพิกถอนคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีก่อนไม่

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันเปิดถนน ค.ส.ล. ด้านหลังโดยนำแผงเหล็กที่ปิดกั้นออกและขนย้ายกองวัสดุก่อสร้างบนถนนพิพาทออกไป พร้อมทั้งให้ใช้ค่าเสียหายและค่าฤชาธรรมเนียม โดยศาลฎีกาให้จำหน่ายคดีเฉพาะตัวโจทก์ที่ 1 ออกจากสารบบความของศาลฎีกาเพราะโจทก์ที่ 1 ถึงแก่กรรมและไม่มีผู้ใดเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่ต่อมาโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 7 ขอหมายบังคับคดีเพราะจำเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาเนื่องจากยังไม่ได้รื้อกำแพงที่จำเลยทั้งสามก่อสร้างติดกับด้านหลังอาคารโจทก์
จำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องว่า จำเลยทั้งสามได้นำเงินค่าเสียหายมาวางศาลและได้ขนย้ายแผงเหล็กที่ปิดกั้นถนนและวัสดุก่อสร้างบนถนนพิพาทออกไปแล้ว จึงไม่มีเหตุที่จะต้องขอให้ศาลตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อยึดทรัพย์จำเลยทั้งสาม ขอให้เพิกถอนคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีของโจทก์ทั้งเจ็ด ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งงดการบังคับคดี แต่โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 7 ยื่นคำร้องยืนยันว่า จำเลยทั้งสามยังไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกาให้ครบถ้วนจึงเห็นสมควรออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อดำเนินการรื้อกำแพงดังกล่าวตามคำขอของโจทก์ต่อไป
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 บังคับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันเปิดถนน ค.ส.ล.ด้านหลังตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องโดยนำแผงเหล็กที่ปิดกั้นออกและขนย้ายวัสดุก่อสร้างบนถนนพิพาทออกไปให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าทดแทนนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะเปิดถนนพิพาทและขนย้ายวัสดุก่อสร้างเสร็จ จากผลคำพิพากษาถึงที่สุดข้อที่ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าทดแทนจนกว่าจะเปิดถนนพิพาทและขนย้ายวัสดุก่อสร้างเสร็จจึงมีความหมายว่าจำเลยทั้งสามจะต้องเปิดถนนพิพาทและจะต้องขนย้ายวัสดุก่อสร้างออกไป การที่จำเลยที่ 3เพียงแต่ขนย้ายวัสดุก่อสร้างออก เป็นการปฏิบัติส่วนหนึ่งตามคำพิพากษาเท่านั้น แต่การที่จำเลยที่ 3 ไม่รื้อรั้วกำแพงที่ปิดกั้นถนนพิพาทออก มีผลเท่ากับยังไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาในส่วนที่ให้เปิดถนนพิพาท นอกจากนี้การกระทำของจำเลยที่ 3ที่สร้างรั้วกำแพงขึ้นใหม่ในถนนพิพาท เป็นการจงใจก่อเหตุให้โจทก์ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากถนนพิพาทได้โดยปกติสุขที่ศาลล่างทั้งสองให้ออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อดำเนินการรื้อกำแพงดังกล่าวจึงชอบแล้ว
ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า จำเลยที่ 3 ได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่า จำเลยที่ 3 ได้นำเงินวางศาลชำระค่าเสียหายและขนย้ายแผงเหล็กกับวัสดุก่อสร้างออกไปแล้ว ขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้งดการบังคับคดีแล้ว หากโจทก์ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งของศาลชั้นต้นก็ควรจะอุทธรณ์ต่อไปนั้น เห็นว่า ศาลชั้นต้นเป็นศาลที่ออกหมายบังคับคดีย่อมมีอำนาจทำคำวินิจฉัยชี้ขาดในเรื่องเกี่ยวกับการบังคับคดีได้ ตลอดจนมีอำนาจแก้ไขเปลี่ยนแปลงคำสั่งที่เคยอนุญาตให้งดการบังคับคดีด้วย ดังนี้การที่ศาลชั้นต้นสอบถามคู่ความทั้งสองฝ่ายแล้วมีคำสั่งว่า จำเลยทั้งสามยังมิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกาให้ครบถ้วน จึงเห็นสมควรออกหมายบังคับคดีตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อดำเนินการรื้อกำแพงดังกล่าวตามคำขอของโจทก์ จึงเท่ากับศาลชั้นต้นได้ยกเลิกคำสั่งที่อนุญาตให้งดการบังคับคดีไปโดยปริยายอยู่แล้ว หาจำต้องให้โจทก์อุทธรณ์ก่อนไม่
พิพากษายืน

Share