คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7478/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์และจำเลยทั้งสี่ทำสัญญาประนีประนอมยอมความ กันในชั้นอุทธรณ์ ตามสัญญาประนีประนอมยอมความมิได้ระบุไว้ชัดแจ้งว่า เงินค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความจำนวนเงิน404,005 บาท ที่จำเลยทั้งสี่ได้วางศาลใช้แทนโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ตกเป็นของโจทก์หรือคืนให้แก่จำเลยทั้งสี่ คงมีระบุไว้แต่เพียงว่า โจทก์และจำเลยทั้งสี่ติดใจเรียกร้องต่อกันเพียงนี้ค่าฤชาธรรมเนียมนอกจากส่วนที่ศาลจะสั่งคืนและค่าทนายความให้ตกเป็นพับกรณีไม่อาจรับฟังได้ว่าโจทก์และจำเลยทั้งสี่จะตกลงกันเฉพาะค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์เท่านั้นดังนั้นข้อความที่ระบุไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความย่อมหมายความรวมถึงค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความในศาลชั้นต้นด้วย เมื่อศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความของโจทก์และจำเลยทั้งสี่แล้ว ถือได้ว่าสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นส่วนหนึ่งของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คำพิพากษาศาลชั้นต้นจึงไม่ผูกพันโจทก์และจำเลยทั้งสี่ในกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นที่ได้พิพากษาเพราะคำพิพากษาศาลชั้นต้นได้ถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่งโจทก์จึงไม่มีสิทธิขอรับเงินค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ที่จำเลยทั้งสี่วางศาลใช้แทนโจทก์ได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้โจทก์ชนะคดีให้จำเลยทั้งสี่ส่งมอบโฉนดที่ดินพิพาททั้ง 9 แปลง แก่โจทก์และโอนเปลี่ยนชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาททั้ง 9 แปลง กับให้จำเลยทั้งสี่ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนโจทก์ 200,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 404,005 บาท จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น และวางเงินจำนวนดังกล่าวต่อศาลชั้นต้นด้วย ต่อมาโจทก์และจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในชั้นอุทธรณ์ โดยตกลงกันเฉพาะเรื่องทรัพย์สินที่พิพาทคือที่ดินให้แบ่งคนละครึ่งตามสัดส่วนที่ตกลงกันรวมทั้งค่าธรรมเนียม ค่าอากรภาษีเงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์หัก ณ ที่จ่าย และค่าใช้จ่ายในการนั้น โจทก์ตกลงถอนฟ้องและถอนคำร้องทุกข์ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 14824/2530 ของศาลแขวงพระนครเหนือจำเลยที่ 1 ตกลงถอนฎีกาคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 26546/2529 คดีหมายเลขแดงที่ 16744/2533ของศาลแพ่ง และถอนฟ้องคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 3388/2530 คดีหมายเลขแดงที่ 13783/2530 ของศาลแพ่ง โจทก์และจำเลยทั้งสี่ติดใจเรียกร้องต่อกันเพียงนี้ ค่าฤชาธรรมเนียมนอกจากส่วนที่ศาลจะสั่งคืนและค่าทนายความให้ตกเป็นพับ ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาตามยอมคืนค่าขึ้นศาลให้ 3 ใน 4
วันที่ 9 กันยายน 2537 จำเลยทั้งสี่ยื่นคำแถลงขอรับค่าฤชาธรรมเนียมที่ศาลอุทธรณ์สั่งคืน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยนำตัวโจทก์มาให้ศาลสอบถามก่อนว่าจะค้านหรือไม่ จึงจะพิจารณาสั่งต่อมาวันที่ 17 มีนาคม 2538 โจทก์ยื่นคำแถลงขอรับเงินค่าธรรมเนียมและค่าทนายความใช้แทนจำนวนเงิน 404,005 บาท ที่จำเลยทั้งสี่วางชำระแก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นมีคำสั่งนัดพร้อมเพื่อสอบถามถึงวันนัดฝ่ายโจทก์ไม่มาศาล ศาลชั้นต้นจึงสั่งนัดไต่สวน
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้โจทก์คืนเงินพิพาทจำนวน404,005 บาท ให้แก่จำเลยทั้งสี่ อนึ่ง ที่จำเลยทั้งสี่ขอเงินค่าขึ้นศาลที่ศาลสั่งคืนให้จำเลย 3 ใน 4 ส่วน ตามคำแถลงฉบับลงวันที่ 9 กันยายน 2537 นั้น เห็นว่าจำเลยทั้งสี่มีสิทธิรับเงินจำนวนดังกล่าวคืนได้ จึงให้คืนเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่จำเลยทั้งสี่
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่าโจทก์มีสิทธิได้รับค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความจำนวนเงิน404,005 บาท ที่จำเลยทั้งสี่ได้วางศาลใช้แทนโจทก์หรือไม่ในปัญหานี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความแม้มิได้ระบุไว้ชัดแจ้งว่าเงินค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความจำนวนเงิน 404,005 บาทที่จำเลยทั้งสี่ได้วางศาลใช้แทนโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ตกเป็นของโจทก์หรือคืนให้แก่จำเลยทั้งสี่ คงมีระบุไว้แต่เพียงว่าโจทก์และจำเลยทั้งสี่ติดใจเรียกร้องต่อกันเพียงนี้ ค่าฤชาธรรมเนียมนอกจากส่วนที่ศาลจะสั่งคืนและค่าทนายความให้ตกเป็นพับ เมื่อพิจารณาประกอบกับที่โจทก์และจำเลยทั้งสี่นำสืบแล้ว ปรากฎว่านายสมประสงค์มัคคสมัน ทนายจำเลยทั้งสี่เบิกความยืนยันว่า ตกลงเป็นที่เข้าใจกันว่าค่าฤชาธรรมเนียมนี้ให้ตกเป็นฝ่ายผู้วาง ส่วนโจทก์มีนางสาวนิด ธนาบริบูรณ์ เบิกความตอบทนายทั้งสี่ถามค้านว่าได้คุยค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความกับจำเลยที่ 2 ด้วย และพยานคิดว่าพยานมีสิทธิได้รับค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความคืน คำว่า คิดของพยานโจทก์ดังกล่าวไม่ถือว่าเป็นการยืนยันให้ฟังได้ว่าโจทก์และจำเลยทั้งสี่จะตกลงกันเฉพาะค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์ตามที่โจทก์อ้างเท่านั้น ดังนั้น ข้อความที่ระบุไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความย่อมหมายความรวมถึงค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความในศาลชั้นต้นด้วย เมื่อศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความของโจทก์และจำเลยทั้งสี่แล้ว ถือได้ว่าสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นส่วนหนึ่งของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นจึงไม่ผูกพันโจทก์และจำเลยทั้งสี่ ในกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นที่ได้พิพากษาเพราะคำพิพากษาศาลชั้นต้นได้ถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่ง โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอรับเงินค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความจำนวนเงิน 404,005 บาทที่จำเลยทั้งสี่วางศาลใช้แทนโจทก์ได้
พิพากษายืน

Share