คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7453/2562

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ข้อเท็จจริงจากทางนำสืบของโจทก์ปรากฏว่าเช็คพิพาททั้งสามฉบับมิใช่เป็นของจำเลยที่ 1 แต่เป็นของบริษัท ซ. อันแตกต่างจากฟ้อง แต่ก็ได้ความจากทางนำสืบของโจทก์ว่าบริษัท ซ. เป็นบริษัทภายในเครือเดียวกันกับจำเลยที่ 1 ซึ่งมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของทั้งสองบริษัทและจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัท ซ. ดังนั้นไม่ว่าจำเลยที่ 2 จะออกเช็คในฐานะส่วนตัวหรือในฐานะที่กระทำแทนบริษัท ซ. จำเลยที่ 2 ก็คงมีความรับผิดทางอาญาเช่นเดียวกันเพราะการดำเนินกิจการของบริษัทย่อมแสดงออกโดยทางผู้แทนทั้งหลายของบริษัท เมื่อจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้แทนของจำเลยที่ 1 และบริษัท ซ. ลงชื่อในเช็คสั่งจ่ายเงินโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คอันเป็นความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง ก็ถือว่าโจทก์ย่อมฟ้องจำเลยที่ 2 ในฐานะส่วนตัวโดยลำพังไม่จำต้องอ้างว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 ก็ได้ ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณากับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้องจึงหาใช่เป็นข้อแตกต่างในสาระสำคัญ ทั้งจำเลยก็มิได้หลงต่อสู้ด้วย อันเป็นเหตุที่ศาลจะต้องพิพากษายกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกกระทงแรก 11 เดือน กระทงที่ 2 และที่ 3 จำคุกกระทงละ 1 ปี รวม 3 กระทง เป็นจำคุก 2 ปี 11 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า จำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 และบริษัทซีบียู ออโต้ เซลล์ แอนด์ เซอร์วิส จำกัด เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2560 จำเลยที่ 2 ทำบันทึกข้อตกลงชำระหนี้ค่ารถยนต์ยี่ห้อแม็คซัส 3 คัน และออกเช็คธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาบางจาก 3 ฉบับ ฉบับที่ 1 จำนวนเงิน 1,028,000 บาท ฉบับที่ 2 จำนวนเงิน 1,128,000 บาท และฉบับที่ 3 จำนวนเงิน 1,200,000 บาท มอบให้แก่โจทก์ ครั้นเช็คทั้งสามฉบับถึงกำหนด โจทก์นำเช็คไปเรียกเก็บเงินปรากฏว่าธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน สำหรับจำเลยที่ 1 ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง โจทก์ไม่ฎีกา คดีในส่วนของจำเลยที่ 1 จึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ประการแรกว่า ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาสำหรับจำเลยที่ 2 แตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้องในข้อสาระสำคัญหรือไม่ เห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงจากทางนำสืบของโจทก์จะปรากฏว่าเช็คพิพาททั้งสามฉบับมิใช่เป็นของจำเลยที่ 1 แต่เป็นของบริษัทซีบียู ออโต้ เซลล์ แอนด์ เซอร์วิส จำกัด อันแตกต่างจากฟ้อง แต่ก็ได้ความจากทางนำสืบของโจทก์ว่าบริษัทซีบียู ออโต้ เซลล์ แอนด์ เซอร์วิส จำกัด เป็นศูนย์บริการเพื่อรองรับการซ่อมบำรุงรถยนต์ภายใต้กิจการของจำเลยที่ 1 ถือว่าเป็นบริษัทภายในเครือเดียวกันกับจำเลยที่ 1 ซึ่งมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของทั้งสองบริษัท และจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัทซีบียู ออโต้ เซลล์ แอนด์ เซอร์วิส จำกัด ดังนั้นไม่ว่าจำเลยที่ 2 จะออกเช็คในฐานะส่วนตัวหรือในฐานะที่กระทำแทนบริษัทซีบียู ออโต้ เซลล์ แอนด์ เซอร์วิส จำกัด จำเลยที่ 2 ก็คงมีความรับผิดทางอาญาเช่นเดียวกันเพราะการดำเนินกิจการของบริษัทย่อมแสดงออกโดยทางผู้แทนทั้งหลายของบริษัท เมื่อจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้แทนของจำเลยที่ 1 และบริษัทซีบียู ออโต้ เซลล์ แอนด์ เซอร์วิส จำกัด ลงชื่อในเช็คสั่งจ่ายเงินโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คอันเป็นความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง ก็ถือว่าโจทก์ย่อมฟ้องจำเลยที่ 2 ในฐานะส่วนตัวโดยลำพังไม่จำต้องอ้างว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 ก็ได้ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณากับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้องจึงหาใช่เป็นข้อแตกต่างในสาระสำคัญทั้งจำเลยก็มิได้หลงต่อสู้ด้วยอันเป็นเหตุที่ศาลจะต้องพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 2 ดังที่จำเลยที่ 2 ฎีกาแต่อย่างใดไม่ ฎีกาของจำเลยที่ 2 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ประการสุดท้ายว่า มีเหตุลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษให้แก่จำเลยที่ 2 หรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ 2 ออกเช็คพิพาททั้งสามฉบับตามฟ้องเป็นจำนวนเงินรวมกันสูงถึง 3,356,000 บาท โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ชดใช้เงินแก่โจทก์เพื่อบรรเทาความเสียหายแม้เพียงบางส่วน พฤติการณ์จึงไม่มีเหตุที่จะลงโทษสถานเบาหรือรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยที่ 2 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 2 รวม 3 กระทง จำคุก 2 ปี 11 เดือน โดยไม่รอการลงโทษให้แก่จำเลยที่ 2 นั้นเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งความผิดแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 2 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share