คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 745/2512

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยจ้างโจทก์ก่อสร้างตึกแถว เมื่อจำเลย หรือ ฟ. พบเห็นสิ่งใดโจทก์ทำไว้บกพร่องได้ทักท้วงบอกให้แก้ ได้ตกลงกันทำบันทึกระบุวิธีแก้ไขดังนี้ ย่อมมีผลว่าเรื่องที่ได้ทักท้วงตกลงกันไปแล้วก็เป็นอันเป็นไปตามข้อตกลงใหม่ แต่ข้อบกพร่องอื่นๆ ที่ยังไม่ได้พูดถึงจะถือว่าจำเลยยอมรับเอาทุกอย่างหาได้ไม่จะเอาการที่ ฟ. ทักท้วงหรือไม่มาผูกมัดจำเลยไม่ได้เพราะ ฟ. เป็นเพียงผู้ที่จำเลยให้มาช่วยตรวจดูงานก่อสร้างไม่ใช่มาเป็นตัวแทนรับมอบงานโจทก์ยังคงต้องรับผิดอยู่ เมื่อจำเลยบอกให้แก้ไขแล้วไม่แก้ไข ย่อมผิดสัญญา

อนึ่ง โจทก์เป็นช่างก่อสร้าง เอาแบบแปลนที่เขียนขึ้นเคร่าๆ ไม่มีรายละเอียดให้ก่อสร้างได้สะดวกมาต่อท้ายสัญญาจ้างโจทก์ย่อมเป็นฝ่ายไม่สุจริตไม่มีสิทธิเรียกเอาค่าจ้างจากจำเลยผู้ว่าจ้างแต่การที่จำเลยเข้าทำสัญญาจ้างโดยไม่พิจารณาว่าแบบแปลนใช้ก่อสร้างได้หรือไม่ เพราะรายละเอียดมีไม่พอ เป็นเหตุให้ต้องบอกโจทก์แก้ไขเพิ่มเติมสิ่งก่อสร้างบ่อยๆถือว่าจำเลยมีส่วนผิดอยู่ด้วยจำเลยเป็นผู้ไม่สุจริต มีส่วนผิดที่ต้องเลิกสัญญา จำเลยจึงไม่อาจฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายเพราะโจทก์ก่อสร้างไม่สำเร็จได้
โจทก์จำเลยต่างมีส่วนผิด บอกเลิกสัญญากันไปแล้ว การก่อสร้างที่โจทก์ลงทุนลงแรงไว้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 391เมื่อเลิกสัญญากัน ให้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมส่วนการงานอันได้กระทำให้ ก็ให้ทำได้ด้วยใช้เงินตามควรค่าแห่งการนั้นๆการจะให้โจทก์รื้อสัมภาระของโจทก์ไปย่อมเสียหายแก่โจทก์มาก การก่อสร้างที่ทำไปแล้วใช่ว่าใช้ไม่ได้เสียหายทีเดียวจำเลยยังอาจแก้ไขทำต่อใช้ประโยชน์ได้ จึงให้จำเลยรับเอาสิ่งปลูกสร้าง และค่าการงานชดใช้แก่โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทำสัญญากับจำเลยที่ 2 รับก่อสร้างตึกแถวต่อจากของเดิม จำเลยทั้ง 2 สั่งให้โจทก์แก้ไขเพิ่มเติมงานก่อสร้างตกลงจะจ่ายค่าจ้างเพิ่มเติม ครั้นโจทก์สร้างใกล้สำเร็จ จำเลยหาเหตุแกล้งเพื่อให้โจทก์ทำงานไม่ได้ โดยให้คนพังผนังตึกที่สร้างเสร็จแล้ว ทำให้ต้องทำใหม่เป็นเงิน 11,500 บาท ถ้าโจทก์สร้างตึกเสร็จจะได้เงิน 321,900 บาท หักออก 4 รายการ เป็นเงิน 91,300 บาทคงเหลือ 230,000 บาท จำเลยที่ 1 เป็นสามีจำเลยที่ 2 ร่วมดำเนินการในสัญญาสร้างตึกและในที่ดินอันเป็นสินบริคณห์ ต้องรับผิดด้วยขอให้จำเลยใช้เงิน230,600 บาท ฯลฯ

จำเลยให้การปฏิเสธและว่าโจทก์เบิกเงินทดรองจากจำเลยไป5,000 บาท แต่ไม่ยอมแก้ไขงานที่ทำไว้ผิดข้อตกลง จึงบอกเลิกสัญญาให้โจทก์คืนเงิน 5,000 บาท ฟ้องแย้งให้โจทก์คืนเงิน 5,000 บาทและให้ชดใช้ค่าเสียหายที่จำเลยจะพึงได้ค่าหน้าดิน เมื่อการก่อสร้างเสร็จ 50,000 บาทให้โจทก์รื้อสิ่งปลูกสร้างออกไป ฯลฯ

โจทก์ให้การปฏิเสธฟ้องแย้ง

ศาลชั้นต้นให้จำเลยรับตึกพิพาทไว้ และให้จำเลยชำระค่าก่อสร้างแก่โจทก์ 123,500 บาท คำขอนอกจากนี้และฟ้องแย้งให้ยก

โจทก์ จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่าให้จำเลยชำระเงิน 2,000 บาท (ค่าก่อสร้างเพิ่มเติม) ให้โจทก์ด้วย

โจทก์ จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยไม่ได้ใช้ให้นายคิ้ม นายเสริมพังฝาผนัง และเห็นว่าโจทก์ทำผิดหลายอย่าง แต่เห็นว่าเมื่อจำเลยหรือนายฟู คนที่จำเลยใช้ให้มาตรวจพบเห็นว่าสิ่งใดโจทก์ทำไว้บกพร่อง ได้ทักท้วงบอกให้แก้ได้ตกลงทำบันทึกระบุวิธีแก้ไขย่อมมีผลว่าเรื่องที่ได้ทักท้วงตกลงกันไปแล้ว ก็เป็นอันเป็นไปตามข้อตกลงใหม่ แต่ข้อบกพร่องอื่น ๆ ที่ยังไม่ได้พูดถึง จะถือเอาว่าจำเลยยอมรับเอาทุกอย่างหาได้ไม่ โดยอาจเป้นเรื่องที่ยังไม่พบเห็นและกรณีนี้ยังไม่ได้รับมอบสิ่งปลูกสร้าง เพราะการก่อสร้างรายนี้หาได้มีข้อกำหนดส่งมอบงานกันเป็นงวด ๆ ไม่ จะเอาการที่นายฟูหักท้วงหรือไม่มาผูกมัดจำเลยไม่ได้ เพราะนายฟูเป็นเพียงผู้ที่จำเลยให้มาช่วยตรวจดูงานก่อสร้าง ไม่ใช่ให้มาเป็นตัวแทนรับมอบงาน ฉะนั้น โจทก์ยังคงต้องรับผิดอยู่ เมื่อจำเลยบอกให้แก้ไขแล้วไม่แก้ไขก็ผิดสัญญา อนึ่ง กรณีนี้ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์เป็นฝ่ายไม่สุจริตอยู่มากเพราะเป็นช่างก่อสร้างแล้วยังเอาแบบแปลนที่เขียนขึ้นเคร่า ๆ ไม่มีรายละเอียดให้ก่อสร้างได้สะดวกมาต่อท้ายสัญญาจ้าง โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกเอาค่าจ้างจากจำเลย

ฝ่ายจำเลยฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายในการที่โจทก์ก่อสร้างไม่เสร็จตามสัญญา และก่อสร้างบกพร่อง ขอให้โจทก์รื้อสิ่งที่ได้ปลูกสร้างไว้ออกไปศาลฎีกาเห็นว่าเรื่องนี้จำเลยได้มีส่วนทำผิดไม่น้อย เริ่มต้นด้วยเข้าทำสัญญาจ้างโดยไม่พิจารณาว่าแบบแปลนใช้ก่อสร้างได้หรือไม่ เพราะรายละเอียดมีไม่พอจึงเป็นเหตุให้ต้องบอกให้โจทก์แก้ไขเพิ่มเติมสิ่งก่อสร้างบ่อย ๆ และศาลฎีกา เห็นต่อไปว่า จำเลยใช้สิทธิเลิกสัญญาโดยไม่สุจริต คือจำเลยได้ยกเอาข้อบกพร่องของโจทก์ ที่ตกลงกันไปแล้วมารื้อฟื้นให้โจทก์แก้ไขอีกหลายประการ จำเลยเป็นผู้ไม่สุจริตมีส่วนเป็นผู้ผิดที่ต้องเลิกสัญญาด้วย จึงไม่อาจฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหาย เพราะโจทก์ก่อสร้างไม่สำเร็จได้ เมื่อโจทก์จำเลยต่างมีส่วนผิดบอกเลิกสัญญากันไปแล้วการก่อสร้างลงทุนลงแรงทำไว้จะทำกันอย่างไร ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 เมื่อเลิกสัญญากันให้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม ส่วนการงานอันได้กระทำให้ก็ให้ทำได้ด้วยใช้เงินตามควรค่าแห่งการนั้น ๆ สำหรับกรณีนี้ถ้าจะให้โจทก์รื้อเอาสัมภาระของโจทก์ไปย่อมเสียหายแก่โจทก์มากการก่อสร้างที่ทำไปแล้วใช่ว่าจะใช้ไม่ได้เสียทีเดียว จำเลยยังอาจแก้ไขทำต่อใช้ประโยชน์ได้ จึงให้จำเลยรับเอาสิ่งปลูกสร้างแล้วใช้ค่าสิ่งก่อสร้างการงานชดใช้แก่โจทก์วิธีคำนวณ เห็นควรคิดว่าถ้าโจทก์ก่อสร้างเสร็จจะได้เงินเท่าไรก็ให้จำเลยชดใช้กึ่งหนึ่งเพราะการงานที่ทำไว้มีข้อบกพร่องอยู่บ้าง ศาลฎีกาเห็นว่าเงินที่โจทก์จะใช้ตามสัญญาหากว่าก่อสร้างเสร็จ หักแล้วคงเหลือ126,500 บาท ให้จำเลยใช้กึ่งหนึ่ง

พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยทั้งสองชำระเงิน 63,250 บาท

Share