คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7390/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยให้การว่าจำเลยจ้างโจทก์โดยมีการทดลองงานและจำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะโจทก์ไม่ผ่านการทดลองงานการที่ศาลแรงงานพิเคราะห์เอกสารสัญญาจ้าง และข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานก็เพื่อวินิจฉัยตามคำท้าว่า จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานโดยมีการทดลองงานหรือไม่ และการที่ศาลแรงงานพิเคราะห์คำว่าพนักงานทดลองงานและคำว่าพนักงานสัญญาจ้างในข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานโดยมีกำหนดระยะเวลาแน่นอน แต่มิใช่เป็นการทดลองงานเป็นการวินิจฉัยคดีตรงตามคำท้าว่าจำเลยจ้างโจทก์โดยมีการทดลองงานหรือไม่แล้ว
คู่ความตกลงท้ากันว่าหากจำเลยแพ้คดีตามคำท้าถือว่าจำเลยยอมรับข้อเท็จจริงตามฟ้องโจทก์ หมายความว่าเมื่อจำเลยแพ้คดีตามคำท้าแล้ว จำเลยยอมรับข้อเท็จจริงว่าจำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานและจำเลยเลิกจ้างโจทก์ โดยโจทก์ไม่ได้กระทำผิดและไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ดังนี้สำหรับค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมศาลแรงงานต้องใช้ดุลพินิจกำหนดให้โดยคำนึงถึงอายุของลูกจ้างเมื่อถูกเลิกจ้างมูลเหตุแห่งการเลิกจ้างและเงินค่าชดเชยที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49 ด้วย การที่ศาลแรงงานพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมเต็มตามฟ้องให้แก่โจทก์ โดยมิได้พิเคราะห์ตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้น จึงไม่ชอบสมควรย้อนสำนวนให้ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยในปัญหาดังกล่าวต่อไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2542 จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานในตำแหน่งผู้จัดการโรงงานด้านเทคนิค ได้รับอัตราค่าจ้างสุดท้ายเดือนละ 40,000 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 25 ของเดือนต่อมาวันที่ 17 มกราคม 2543 จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ได้กระทำผิดและไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า โจทก์ขอคิดค่าเสียหายอันเกิดจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมโดยคิดจากอัตราค่าจ้างสุดท้ายเป็นเวลา18 เดือน คิดเป็นเงิน 720,000 บาท และมีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นเวลา 39 วัน คิดเป็นเงิน 51,999 บาทขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 771,999 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมายให้โจทก์

จำเลยให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง

ในวันพิจารณาและสืบพยานโจทก์ คู่ความแถลงท้ากันให้ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยสัญญาจ้างที่โจทก์อ้างส่งศาลแรงงานกลางประกอบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยที่จำเลยอ้างส่งศาลแรงงานกลางไว้พร้อมกับคำให้การว่า การที่จำเลยทำสัญญาว่าจ้างโจทก์นั้นเป็นการว่าจ้างโจทก์นั้นเป็นการว่าจ้างโจทก์เข้าทำงานโดยมีกำหนดระยะเวลาที่แน่นอนตามที่ระบุไว้ในสัญญาจ้างหรือเป็นเพียงการทดลองงานโดยคู่ความทั้งสองฝ่ายไม่ติดใจสืบพยานหากศาลแรงงานกลางเห็นว่าเป็นการรับโจทก์เข้าทดลองงานให้ถือว่าโจทก์ยอมรับข้อเท็จจริงตามคำให้การจำเลยโจทก์ยอมแพ้ แต่หากศาลแรงงานกลางเห็นว่าเป็นการรับโจทก์เข้าทำงานโดยมีกำหนดระยะเวลาแน่นอนตามที่ระบุไว้ในสัญญาจ้างมิใช่เป็นเพียงการทดลองงาน ให้ถือว่าจำเลยยอมรับข้อเท็จจริงตามฟ้องโจทก์ จำเลยยอมแพ้ศาลแรงงานกลางสั่งงดสืบพยานโจทก์และจำเลย ศาลแรงงานกลางพิเคราะห์สัญญาจ้างเอกสารหมาย จ.1 ประกอบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานเอกสารหมาย ล.1 แล้ววินิจฉัยว่า จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานตามเอกสารหมาย จ.1 โดยมีกำหนดระยะเวลาแน่นอน แต่ไม่มีกำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับการทดลองงานจึงมิใช่การทดลองงาน จำเลยต้องแพ้ตามคำท้าพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 771,999 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ข้อแรกของจำเลยว่า ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยตรงตามคำท้าหรือไม่ จำเลยอุทธรณ์ว่าศาลแรงงานกลางยกเอกสารหมาย ล.1 ข้อ 45.2 อันเป็นเรื่องเกี่ยวกับค่าชดเชยกับยกเอาคำว่าพนักงานทดลองงานและพนักงานสัญญาจ้างตามเอกสารดังกล่าวมาวิเคราะห์แล้ววินิจฉัยว่า จำเลยจ้างโจทก์โดยมีกำหนดระยะเวลามิใช่เป็นการทดลองงาน จึงไม่ตรงตามคำท้าที่ท้ากันให้ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าการว่าจ้างโจทก์เข้าทำงานโดยมีกำหนดระยะเวลาในสัญญาจ้างหรือเป็นเพียงการทดลองงาน เห็นว่า จำเลยให้การฉบับลงวันที่ 29 กุมภาพันธ์2543 ว่าจำเลยจ้างโจทก์โดยมีการทดลองงานและจำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะโจทก์ไม่ผ่านการทดลองงาน การที่ศาลแรงงานกลางพิเคราะห์สัญญาจ้างเอกสารหมาย จ.1 และข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานเอกสารหมาย ล.1 ก็เพื่อวินิจฉัยตามคำท้าว่า จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานโดยมีการทดลองงานหรือไม่ และการที่ศาลแรงงานกลางพิเคราะห์คำว่า พนักงานทดลองงานและคำว่าพนักงานสัญญาจ้างในข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานเอกสารหมายล.1 แล้ววินิจฉัยว่า จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานโดยมีกำหนดระยะเวลาแน่นอน แต่มิใช่เป็นการทดลองงานนั้นเป็นการวินิจฉัยคดีตามคำท้าว่าจำเลยจ้างโจทก์โดยมีการทดลองงานหรือไม่นั่นเอง คำวินิจฉัยของศาลแรงงานกลางจึงตรงตามคำท้าแล้ว

ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ข้อสองของจำเลยว่าศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินให้แก่โจทก์จำนวน771,999 บาท เต็มตามฟ้องชอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 49 หรือไม่นั้น เห็นว่า คดีนี้คู่ความตกลงท้ากันว่าหากจำเลยแพ้คดีตามคำท้า ถือว่าจำเลยยอมรับข้อเท็จจริงตามฟ้องโจทก์ หมายความว่าจำเลยยอมรับข้อเท็จจริงว่าจำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2542 ตำแหน่งผู้จัดการโรงงานด้านเทคนิค โดยไม่มีการทดลองงานโจทก์ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 40,000 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 25 ของเดือน ต่อมาวันที่ 17 มกราคม 2543 จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่ได้กระทำผิดและไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ดังนี้ สำหรับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้านั้นถือว่าจำเลยยอมรับว่าจำเลยมีหน้าที่ต้องจ่ายตามจำนวนในฟ้องแก่โจทก์ และจำเลยก็มิได้อุทธรณ์โต้แย้งในข้อนี้ ส่วนค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมจะมีมากน้อยเพียงใดนั้น ศาลแรงงานกลางต้องใช้ดุลพินิจกำหนดให้โดยคำนึงถึงอายุของลูกจ้างเมื่อถูกเลิกจ้างมูลเหตุแห่งการเลิกจ้างและเงินค่าชดเชยที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 49 การที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมเต็มตามฟ้องให้แก่โจทก์ โดยมิได้พิเคราะห์ตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้น จึงไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 49 เห็นสมควรย้อนสำนวนให้ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยในปัญหาดังกล่าวต่อไป

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลแรงงานกลางเฉพาะที่ให้จำเลยชำระค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมเต็มตามฟ้อง โดยให้ศาลแรงงานกลางพิเคราะห์กำหนดค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49 แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง

Share