คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7281/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นข้าราชการสังกัดกรมการปกครองประจำที่ทำการปกครอง มีหน้าที่เกี่ยวกับงานทะเบียนราษฎร ได้กรอกข้อความในสูติบัตรและรับรองการแจ้งเกิดอันเป็นเท็จแล้วเพิ่มชื่อบุคคลลงในทะเบียนบ้านเป็นการกระทำด้วยเจตนาเพื่อวัตถุประสงค์เดียวกันเป็นการกระทำกรรมเดียว การที่จำเลยจัดทำเอกสารเกี่ยวกับทะเบียนบ้านโดยฝ่าฝืนระเบียบที่กรมการปกครองกำหนดข้อบังคับไว้ ได้ชื่อว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายโดยเฉพาะอย่างยิ่งแก่ราชการกรมการปกครองอยู่ในตัว เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91,157, 162, 149
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 149, 157 และ 162(4) เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันเรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91แต่ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 162(4) เป็นกรรมเดียวกับมาตรา 157 ลงโทษตามมาตรา 157 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 รวมสองกระทง ให้จำคุกกระทงละ 2 ปี และจำเลยยังมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 อีกกระทงหนึ่งให้จำคุก 5 ปีรวมจำคุกจำเลยมีกำหนด 9 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 162(4) ลงโทษจำคุก 2 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้าง นับว่ามีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยมีกำหนด 1 ปี 4 เดือน ให้ยกฟ้องข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 และมาตรา 157 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยเป็นข้าราชการสังกัดกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยประจำที่ทำการปกครองอำเภออาจสามารถ จังหวัดร้อยเอ็ด มีหน้าที่เกี่ยวกับงานทะเบียนราษฎรรวมทั้งการทำและกรอกข้อความในสูติบัตรและทะเบียนราษฎรของที่ทำการปกครองดังกล่าว ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในฟ้อง จำเลยได้กรอกสูติบัตรของเด็กชายประไพบุญเรืองฤทธิ์ ตามเอกสารหมาย จ.7 และกรอกรายชื่อ นามสกุลวันเดือนปีเกิดและเพิ่มเติมชื่อของเด็กชายประไพในทะเบียนบ้านเลขที่ 6 หมู่ที่ 7 ตำบลหนองหมื่นถ่าน อำเภออาจสามารถ จังหวัดร้อยเอ็ด ตามเอกสารหมาย จ.1 และ จ.6 โดยนางพรรณี จันทร์พลงามผู้ปกครองของเด็กชายประไพมิได้แจ้งการเกิดของเด็กชายประไพและไม่เคยยื่นคำร้องขอให้เพิ่มชื่อของเด็กชายประไพลงในทะเบียนบ้านจำเลยจัดทำเอกสารดังกล่าวเป็นความเท็จขึ้นเองทั้งสิ้น
โจทก์ฎีกาข้อกฎหมายข้อแรกว่า ทะเบียนบ้านเป็นหลักฐานแห่งการแสดงถึงภูมิลำเนาถิ่นที่อยู่ของผู้มีชื่อ ส่วนสูติบัตรแสดงถึงการเกิดและสถานะภาพของบุคคล ย่อมเป็นคนละตอน และคนละเจตนาการที่จำเลยทำสูติบัตรเท็จไปประกอบทะเบียนบ้านเพิ่มเติมชื่อเด็กชายประไพนั้น เป็นการยืนยันข้อเท็จจริงมุ่งพิสูจน์ความจริงว่าเด็กชายประไพมีภูมิลำเนาและถิ่นที่อยู่ตามสำเนาทะเบียนบ้านซึ่งเป็นความเท็จ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดหลายกรรมนั้น เห็นว่า การที่จำเลยกรอกข้อความในสูติบัตรเอกสารหมาย จ.7และรับรองการแจ้งเกิดอันเป็นเท็จก็ด้วยเจตนาเพื่อนำมาอ้างในการเพิ่มเติมชื่อเด็กชายประไพลงในทะเบียนบ้านเอกสารหมาย จ.1และ จ.6 จึงเป็นการกระทำด้วยเจตนาเพื่อวัตถุประสงค์เดียวกัน เป็นการกระทำกรรมเดียว
ส่วนความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยเป็นพนักงานฝ่ายปกครอง รู้ถึงระเบียบการแจ้งเกิดหลังกำหนดและเพิ่มชื่อในทะเบียนบ้านเป็นอย่างดี แต่จำเลยละเว้นไม่ปฏิบัติตามหน้าที่และระเบียบที่กำหนดให้ปฏิบัติจึงเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่และก่อให้เกิดความเสียหายแก่กรมการปกครองและประเทศชาติในการที่จะตรวจสอบสัญชาติ ถิ่นกำเนิดว่าบุคคลดังกล่าวมีสถานะภาพอย่างใด การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดนั้นเห็นว่า การกระทำของจำเลยที่จัดทำเอกสารหมาย จ.7 และเอกสารหมาย จ.1 และ จ.6นี้เป็นการฝ่าฝืนระเบียบแจ้งการเกิดหลังกำหนดและเพิ่มเติมชื่อในทะเบียนบ้านที่กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย กำหนดข้อบังคับไว้ว่าต้องมีการยื่นคำร้องสอบสวนพยานบุคคลเพื่อให้การดำเนินดังกล่าวเป็นไปโดยถูกต้องได้ชื่อว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายโดยเฉพาะอย่างยิ่งแก่ราชการกรมการปกครองอยู่ในตัว เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157, 162(4) การกระทำเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามมาตรา 157 ซึ่งเป็นบทหนักที่สุดตามมาตรา 90 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1

Share