คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 723/2490

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้เช่าได้ก่อสร้างสิ่งใดๆ ลงในที่ที่เช่า ซึ่งถือได้ว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับที่ดิน กฎหมายถือว่าเป็นส่วนควบของที่ดิน ผู้เป็นเจ้าของที่ย่อมได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 107 ถ้าผู้เช่ารื้อถอนก็ต้องรับผิดฐานละเมิด

ย่อยาว

ได้ความว่าจำเลยได้เช่าบ้านโจทก์อยู่โดยไม่มีหนังสือสัญญาเช่าต่อกัน จำเลยได้ทำถนนซิเมนต์โดยจำเลยออกทรัพย์ทำเองทั้งสิ้นและไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ ต่อมาโจทก์จำเลยเลิกการเช่าต่อกันจำเลยให้คนไปขุดกระทุ้งพื้นถนนซิเมนต์ แล้วขนเอาซิเมนต์ไป โจทก์หาว่าจำเลยทำละเมิดและเรียกค่าเสียหาย

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การก่อสร้างรายนี้ถือไม่ได้ว่าเป็นการก่อสร้างขึ้นเพียงชั่วคราว จึงเป็นลักษณะทรัพย์ติดที่ดินของโจทก์แต่จำเลยเป็นฝ่ายออกทรัพย์ทำขึ้นเอง เมื่อเลิกสัญญาเช่า ถ้าโจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยรื้อถอนไป โจทก์ต้องแสดงเจตนาเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งดังบทบัญญัติของมาตรา 1311 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แต่ไม่ได้ความว่าโจทก์ได้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งเลย โจทก์จะถือเป็นเจ้าของโดยไม่ชดใช้ให้แก่จำเลยบ้างหาชอบไม่ การกระทำของจำเลยไม่เป็นการละเมิด จึงพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดิน ย่อมมีกรรมสิทธิ์ในถนนรายพิพาทนี้ จำเลยไม่มีสิทธิจะรื้อถอนเอาทรัพย์นั้นไปโดยพลการเมื่อจำเลยรื้อไปโดยไม่แจ้งให้โจทก์ทราบจึงเป็นการละเมิดสิทธิโจทก์แม้จำเลยมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1311, 1314 ก็เป็นหน้าที่ของจำเลยจะต้องแจ้งให้โจทก์ทราบโจทก์ก็ไม่มีโอกาสที่จะเลือกเอาอย่างหนึ่งอย่างใดได้ จึงพิพากษากลับให้โจทก์ชนะคดี

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ถนนที่จำเลยทำขึ้นในที่ซึ่งเช่าโจทก์เช่นนี้กฎหมายถือว่าเป็นส่วนควบ โจทก์ผู้เป็นเจ้าของที่ย่อมได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 107 จำเลยไม่มีอำนาจรื้อถอนไปได้ จึงพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share