แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ซ.เช่าที่ดินจากการรถไฟฯ แล้วปลูกห้องลงบนที่ดินที่เช่า ซ.ตาย ทายาททำสัญญาแบ่งปันทรัพย์มรดกโจทก์ที่ 1 รับมรดก และโจทก์ที่ 2,3 รับโอนทรัพย์มรดกมาจากทายาทโจทก์ไม่ได้ทำสัญญาเช่าที่ดินจากการรถไฟฯ จำเลยยื่นหนังสือขอโอนสิทธิการเช่าที่ดินต่อการรถไฟฯในนาม ซ. ให้จำเลย และจำเลยก็ยื่นหนังสือขอรับโอนสิทธิการเช่าที่ดินต่อจาก ซ. ดังนี้ เป็นเรื่องจำเลยใช้อุบายหลอกลวงการรถไฟฯ ให้ทำสัญญาเช่ากับจำเลยซึ่งเป็นการแสดงเจตนาอันได้มาเพราะกลฉ้อฉลซึ่งเป็นโมฆียะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 121 บุคคลที่จะบอกล้างนิติกรรมอันเป็นโมฆียะก็คือการรถไฟฯ ซึ่งเป็นผู้ได้ทำการแสดงเจตนาโดยวิปริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 137 ตราบใดที่การรถไฟฯ ยังมิได้บอกล้างนิติกรรมที่ได้ทำขึ้นก็ยังถือว่าเป็นนิติกรรมที่สมบูรณ์โจทก์ในคดีนี้แม้จะฟังว่าเป็นผู้รับมรดกนายซิวก็ตามแต่เมื่อปรากฏว่าสัญญาเช่าระหว่างการรถไฟฯ กับนายซิวมีอายุการเช่าเพียง 1 ปีและต้องทำสัญญาเช่าใหม่ทุกปีหลังจากนายซิวตายแล้วสัญญาเช่าระหว่างการรถไฟฯกับนายซิวจึงเป็นอันระงับเพราะการตายของนายซิว และสิ้นกำหนดเวลาที่ตกลงกันไว้โจทก์มิได้ทำสัญญาเช่าที่ดินต่อการรถไฟฯ จึงไม่ใช่ผู้มีสิทธิในการเช่าที่ดินโจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะขอให้ศาลสั่งบังคับให้จำเลยโอนสิทธิการเช่าที่ดินให้โจทก์ และไม่มีสิทธิจะขอให้ศาลสั่งทำลายเอกสารต่าง ๆ อันเกี่ยวกับการเช่าที่ดิน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นเจ้าของห้องเลขที่ 0620, 0621 โจทก์ที่ 2 เป็นเจ้าของห้องเลขที่ 0618, 0619 โจทก์ที่ 3 เป็นเจ้าของห้องเลขที่ 0616, 0617 ห้องทั้งหกปลูกอยู่ในที่ดินซึ่งนายซิวเช่าจากการรถไฟฯ นายซิวตาย โจทก์ทั้งสามยังมิได้แจ้งการโอนสิทธิการเช่า แต่เสียค่าเช่าในนามของนายซิว จำเลยซึ่งสมรสกับนางทองบ่อให้สมคบกับผู้อื่น ทำเอกสารหลักฐานเท็จขอโอนสิทธิการเช่าที่ดินให้จำเลย และจำเลยกับบุคคลซึ่งปลอมตัวเป็นนายซิว ได้ทำหนังสือยืนยันรับรองต่อการรถไฟฯ ยอมประนีประนอมเพื่อจัดสรรที่ดินที่พิพาทระหว่างจำเลย นายซิวกับร้อยตำรวจเอกขาว โอนที่พิพาทให้ร้อยตำรวจเอกขาว ที่ดินของร้อยตำรวจเอกขาวเป็นของจำเลย ขอให้พิพากษาสั่งทำลายหนังสือขอโอนสิทธิการเช่าที่ดินที่นายซิวขอโอนให้จำเลย หนังสือของจำเลยที่ขอรับโอน บันทึกข้อตกลงประนีประนอมจัดสรรที่ดินของการรถไฟฯ และขอให้สั่งให้จำเลยโอนสิทธิการเช่าที่ดินพิพาท ฯลฯ
จำเลยให้การว่า จำเลยยื่นคำร้องขอเช่าที่ดินแปลงพิพาทจากการรถไฟฯ โดยระบุว่า นายซิวตาย ซึ่งโจทก์ทุกคนทราบดี คดีโจทก์ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีโจทก์ขาดอายุความ พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ข้อเท็จจริงได้ความว่า นายซิวเช่าที่ดินจากการรถไฟฯ ประมาณ 30 ปี มาแล้ว ทำสัญญาเช่าเป็นรายปี และต้องต่อสัญญาเช่าใหม่ทุกปีได้ปลูกห้องลงบนที่ดินที่เช่านายซิวตายเมื่อ พ.ศ. 2489 ทายาททำสัญญาแบ่งปันทรัพย์มรดก โจทก์ที่ 1 ได้รับห้อง 2 ห้อง นางทองสุข 2 ห้องนางทองดำ 2 ห้อง นางทองดำขายให้นางทองสุข นางทองสุขตาย นายสุยสามีนางทองสุขได้รับมรดกและขายให้โจทก์ที่ 2 สองห้อง โจทก์ที่ 3 สองห้อง โจทก์ทั้งสามคนไม่ได้ทำสัญญาเช่าที่ดินจากการรถไฟฯ จำเลยทำการสมรสกับนางทองบ่อบุตรสาวนายซิวเมื่อ พ.ศ. 2494 พ.ศ. 2495 จำเลยยื่นหนังสือขอโอนสิทธิการเช่าที่ดินต่อการรถไฟฯ ในนามของนายซิว ซึ่งตายไปแล้วให้จำเลย และจำเลยก็ยื่นหนังสือขอรับโอนสิทธิการเช่าที่ดินต่อจากนายซิว พ.ศ. 2497 จำเลยได้สิทธิการเช่าที่ดิน พ.ศ. 2503 จำเลยฟ้องโจทก์ให้รื้อห้องอ้างว่าได้รับโอนสิทธิการเช่าที่ดินจากนายซิว โจทก์จึงทราบว่าจำเลยได้สิทธิการเช่าที่ดิน ศาลพิพากษายกฟ้อง ศาลฎีกาเห็นว่า เป็นเรื่องจำเลยใช้อุบายหลอกลวงการรถไฟฯ ให้ทำสัญญาเช่ากับจำเลยซึ่งเป็นการแสดงเจตนาอันได้มาเพราะกลฉ้อฉล ซึ่งเป็นโมฆียะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 121 บุคคลที่จะบอกล้างนิติกรรมอันเป็นโมฆียะก็คือ การรถไฟฯ ซึ่งเป็นผู้ได้ทำการแสดงเจตนาโดยวิปริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 137 ตราบใดที่การรถไฟฯ ยังมิได้บอกล้างนิติกรรมที่ได้ทำขึ้น ก็ยังถือว่าเป็นนิติกรรมที่สมบูรณ์โจทก์ในคดีนี้แม้จะฟังว่าเป็นผู้รับมรดกนายซิวก็ตามแต่เมื่อปรากฏว่าสัญญาเช่าระหว่างการรถไฟฯ กับนายซิว มีอายุการเช่าเพียง1 ปี และต้องทำสัญญาเช่าใหม่ทุกปีหลังจากนายซิวตายแล้ว สัญญาเช่าระหว่างการรถไฟฯ กับนายซิวจึงเป็นอันระงับ เพราะการตายของนายซิวและสิ้นกำหนดเวลาที่ตกลงกันไว้ในขณะนี้โจทก์มิได้ทำสัญญาเช่าที่ดินต่อการรถไฟฯ จึงไม่ใช่ผู้มีสิทธิในการเช่าที่ดิน ด้วยเหตุผลดังวินิจฉัยมา โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะขอให้ศาลสั่งบังคับให้จำเลยโอนสิทธิการเช่าที่ดินให้โจทก์และไม่มีสิทธิจะขอให้ศาลสั่งทำลายเอกสารต่าง ๆ อันเกี่ยวกับการเช่าที่ดิน
พิพากษายืน