คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 708/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยเพียงแต่ใช้มือทำร้ายผู้เสียหายและบาดแผลที่ผู้เสียหายได้รับเพียงแต่ช้ำบวมที่หัวคิ้วขวาเท่านั้นไม่มีโลหิตออก ทั้งการที่แพทย์ลงความเห็นว่าบาดแผลจะหายภายใน 10 วัน นั้น ก็เป็นแต่การคาดคะเน บาดแผลดังกล่าวอาจจะหายภายในเวลาไม่ถึง 10 วันก็ได้ พิเคราะห์ถึงการกระทำของจำเลยและบาดแผลที่ผู้เสียหายได้รับประกอบด้วย แสดงว่าจำเลย คงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ลงโทษจำคุก 2 เดือน ปรับ 2,000 บาท โทษจำคุกรอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ นายสนิทหรือมานิตย์คุ้มหอม ผู้เสียหายขับรถยนต์ปิกอัพนำหมูไปให้หมวดพิษณุที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอแกลง จังหวัดระยอง ได้ถูกคนร้ายชกที่หัวคิ้วขวา 1 ครั้ง มีอาการบวมช้ำ ปรากฏตามรายงานผลการตรวจชันสูตรบาดแผลท้ายฟ้อง ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่าจำเลยเป็นคนชกผู้เสียหายหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายเบิกความว่าเมื่อผู้เสียหายจอดรถแล้วเปิดประตูรถลงมาก็พบจำเลยกับคนงานก่อสร้าง ผู้เสียหายร้องถามว่าหมวดพิษณุอยู่หรือไม่จำเลยตอบว่า ไม่ใช่เวรของหมวดพิษณุ มึงมาทำไม ผู้เสียหายตอบว่า เอาหมูมาให้ จำเลยว่า ทำไมไม่ให้ สวญ.แดกเสียเลยผู้เสียหายตอบว่าหมูของผมผมจะให้ใครก็ได้ ผมมีตั๋ว จำเลยพูดว่าไอ้นี่เสียงดัง เดี๋ยวล่อซะเลยและเดินมาหาผู้เสียหายที่รถผู้เสียหายเกรงจะมีเรื่อง จึงนำหมูไปฝากเจ้าพนักงานตำรวจคนอื่นไว้แล้วเดินกลับมาที่รถ จำเลยเดินตามหลังผู้เสียหายมาพูดว่า มึงแน่เหลือเกิน ผู้เสียหายจึงตอบว่า แน่ไม่แน่ก็อยู่แกลงมาถึง 29 ปีแล้ว แล้วก็ถูกชกหน้าล้มลง และเห็นจำเลยยืนอยู่พร้อมคนงานอีก 2-3 คน แต่จำเลยยืนอยู่ใกล้ที่สุด เมื่อผู้เสียหายลุกขึ้นและเอะอะโวยวาย จำเลยจึงเดินหนีไป โจทก์มีนายประกิจบำรุง ลูกจ้างของผู้เสียหายซึ่งนั่งอยู่ในรถยนต์ปิกอัพเบิกความว่า พยานนั่งหลับอยู่ในรถ ตื่นขึ้นเพราะได้ยินเสียงเอะอะ เห็นจำเลยซึ่งแต่งเครื่องแบบชกผู้เสียหายล้มลงสนับสนุนคำเบิกความของผู้เสียหาย เห็นว่า ผู้เสียหายเป็นพ่อค้าจำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ โดยปกติแล้วพ่อค้ามักไม่ประสงค์จะมีเรื่องกับเจ้าพนักงานตำรวจ การที่ผู้เสียหายกล้าเบิกความยืนยันว่าเชื่อว่าจำเลยชกผู้เสียหายจึงมีเหตุผลให้เชื่อได้ว่าเป็นความจริง ทั้งโจทก์ยังมีนายประกิจเบิกความยืนยันเห็นจำเลยชกผู้เสียหายอีกด้วย ข้อสงสัยที่ว่าอาจจะเป็นคนงานก่อสร้างชกผู้เสียหายนั้น เห็นว่า ผู้ที่โต้แย้งอยู่กับผู้เสียหายมีจำเลยแต่เพียงผู้เดียว คนงานก่อสร้างมิได้มีส่วนโต้เถียงด้วยและตามคำเบิกความของผู้เสียหายก็ปรากฏว่าจำเลยได้พูดว่าไอ้นี่เสียงดัง เดี๋ยวล่อซะเลย อันเป็นการขู่จะทำร้ายผู้เสียหายมาก่อนอีกด้วย ข้อเท็จจริงฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยเป็นคนชกผู้เสียหายดังฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น อนึ่งข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยเพียงแต่ใช้มือทำร้ายผู้เสียหายและบาดแผลที่ผู้เสียหายได้รับเพียงแต่ช้ำบวมที่หัวคิ้วขวาเท่านั้นไม่มีโลหิตออกทั้งการที่แพทย์ลงความเห็นว่า บาดแผลจะหายภายใน 10 วันนั้นก็เป็นแต่การคาดคะเน บาดแผลดังกล่าวอาจจะหายภายในเวลาไม่ถึง10 วัน ก็ได้ เมื่อพิเคราะห์ถึงการกระทำของจำเลยและบาดแผลที่ผู้เสียหายได้รับประกอบกันแล้ว เห็นว่าจำเลยคงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 เท่านั้น ปัญหานี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้คู่ความมิได้ยกขึ้นฎีกาศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 391 จำคุก 1 เดือน ปรับ 1,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share