คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 707/2521

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คดีอาญาศาลพิพากษาว่า ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 4 ขับรถคันที่ชนโจทก์ในคดีแพ่ง ศาลต้องฟังข้อเท็จจริงในคดีแพ่งตามคดีอาญาแต่จำเลยที่ 5 นายจ้างของจำเลยที่ 4 มิได้ถูกฟ้องในคดีอาญาด้วย ศาลต้องพิจารณาข้อเท็จจริงในคดีแพ่ง ซึ่งศาลฟังว่าจำเลยที่ 4 มิได้ขับรถที่เกิดเหตุเช่นเดียวกัน

ย่อยาว

จำเลยที่ 1 ลูกจ้างจำเลยที่ 2, 3 ขับรถยนต์ชนรถที่สามีและบิดาโจทก์นั่งทำให้สามีและบิดาโจทก์บาดเจ็บ รถหมายเลข ส.ค. 1037 ของจำเลยที่ 5 ชนรถที่เกิดเหตุนั้นซ้ำอีกทำให้สามีและบิดาโจทก์ตาย ศาลในคดีอาญาซึ่งจำเลยที่ 4 ถูกฟ้อง พิพากษาว่าจำเลยที่ 4 ไม่ได้ขับรถหมายเลข ส.ค. 1037 พิพากษายกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2, 3, 4, 5 ร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 226,390 บาท กับดอกเบี้ย ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 4, 5 โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “มีปัญหาในชั้นฎีกาเฉพาะจำเลยที่ 4และที่ 5 ว่าจะต้องรับผิดตามฟ้องโจทก์หรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าวันเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน กท. ฒ. 1460 ซึ่งมีนายเอกศักดิ์นั่งบนรถยนต์หมายเลขทะเบียน กท. ฎ. 4837 ซึ่งนายสมเกียรติขับและผู้ตายนั่งอยู่ในรถขณะรถจอดขวางอยู่บนถนนสายธนบุรี – ปากท่อ รถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน ส.ค. 1037 ซึ่งแล่นตามมาชนรถยนต์หมายเลขทะเบียน กท. ฎ. 4837 อีก เมื่อเกิดเหตุแล้วปรากฏว่าจำเลยที่ 1 หลบหนีไปผู้ตายได้รับบาดเจ็บถึงแก่ความตาย และนายเอกศักดิ์ได้รับบาดเจ็บสาหัส ต่อมาอัยการศาลทหารกรุงเทพ (พนักงานอัยการ กรมอัยการ) ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 4 ฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้คนตายบาดเจ็บสาหัสแล้วหลบหนีไปโดยไม่หยุดช่วยเหลือและแจ้งเหตุ ศาลทหารกรุงเทพ(ศาลอาญา) พิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า คดีฟังไม่ได้ว่าจำเลย (จำเลยที่ 4)เป็นคนขับรถบรรทุกหมายเลขทะเบียน ส.ค. 1037 พิพากษายกฟ้องคดีถึงที่สุดแล้ว ปรากฏตามคดีหมายเลขแดงที่ 202/2518

คดีเฉพาะจำเลยที่ 4 นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา และศาลในคดีอาญาได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงมาแล้ว ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 บัญญัติว่า “ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา” เมื่อข้อเท็จจริงในคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 202/2518 ของศาลทหารกรุงเทพ(ศาลอาญา) วินิจฉัยว่า คดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 4 ขับรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน ส.ค. 1037 ในวันเกิดเหตุ ดังนั้นในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือตามข้อเท็จจริงในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาว่าจำเลยที่ 4 ไม่ได้เป็นคนขับรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน ส.ค. 1037 ด้วยเหตุดังกล่าวคดีจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 4 ได้ขับรถโดยประมาทจำเลยที่ 4 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้อง

ส่วนจำเลยที่ 5 มิได้เป็นจำเลยในคดีอาญา จะใช้ข้อเท็จจริงในคดีอาญามาผูกพันมัดจำเลยที่ 5 ด้วยไม่ได้ จึงต้องฟังข้อเท็จจริงในคดีนี้ใหม่” ฯลฯ

“พยานหลักฐานโจทก์เชื่อไม่ได้ว่าจำเลยที่ 4 ขับรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน ส.ค. 1037 ในวันเกิดเหตุ จำเลยที่ 4 จึงไม่เป็นลูกจ้างในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 5 จำเลยที่ 5 จึงไม่ต้องรับผิดตามฟ้องโจทก์”

พิพากษายืน

Share