คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 707/2490

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า “ฯลฯ จำเลยมีไว้ในครบอครองซึ่งธนบัตรโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นธนบัตรปลอม และได้ใช้ธนบัตรปลอมรายนี้ชำระหนี้ให้แก่ ว. เจ้าพนักงานจับธนบัตรชะนิดใบละยี่สิบบาท 1 ฉะบับ ซึ่งจำเลยนำไปชำระหนี้ให้แก่ ว. ดังกล่าวแล้ว ขอให้ลงโทษ” เป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตาม ป.ม.วิ.อาญา มาตรา 15 + แล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้บังอาจมีไว้ในครอบครองซึ่งธนบัตรโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นธนบัตรปลอม และได้ใช้ธนบัตรปลอมนั้นชำระหนี้แก่ ว. เจ้าพนักงานจับธนบัตรชะนิดใบละยี่สิบบาท ๑ ฉะบับซึ่งจำเลยนำไปชำระหนี้แก่ ว. ขอให้ลงโทษตาม ก.ม.ลักษณะอาญา มาตรา ๒๐๓, ๒๐๔ แก้ไขเพิ่มเติม ๒๔๗๕ มาตรา ๖, ๗
ศาลชั้นต้นงดสืบพะยานแล้ววินิจฉัยว่า ธนบัตรปลอมที่โจทก์กล่าวหาว่า จำเลยใช้นั้นโจทก์มิได้กล่าวให้ได้ความว่าปลอมเป็นเงินตราตามกฎหมาย จำเลยจะมีความผิดฐานจำหน่ายหรือใช้ธนบัตรที่รู้ว่าปลอม ก็แต่ที่ปลอมเป็นเงินตราที่ทำขึ้นเพื่อสาธารณะชนใช้โดยรัฐบาลหรือธนบัตรที่ได้ออกใช้ตามมาตรา ๒๐๙(๑) เท่านั้น ฟ้องโจทก์กล่าวลอย ๆ แต่ว่าธนบัตรปลอม เป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ตาม ป.ม.วิ.อาญา มาตรา ๑๕๘(๕) จึงพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ฟ้องโจทก์สมบูรณ์แล้ว ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ทำการพิจารณาพิพากษาใหม่
จำเลยฎีกา,
ศาลฎีกาเห็นว่า ฟ้องโจทก์มีความบรรยายว่ เจ้าพนักงานจับธนบัตรชะนิดใบละยี่สิบบาทซึ่งจำเลยนำไปใช้ชำระหนี้ให้แก่ ว. ขยายความให้เข้าใช้ข้อหาได้ว่า ธนบัตรที่จำเลยมีไว้และได้ใช้ชำระหนี้ให้แก่ ว. นั้น เป็นสิ่งปลอมขึ้นใช้อย่างเงินตราซึ่งรัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวออกให้สาธารณะชนใช้ตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา ๒๐๒ จึงเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตาม ป.ม.วิ.อาญา มาตรา ๑๕๘ จึงพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share