คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 702-703/2507

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยปลูกสร้างโรงเรือนและขุดคูบนที่ดินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินกั้นหน้าที่ดินของโจทก์ ทำให้โจทก์ขาดความสะดวกในการไปมาและใช้ทรัพย์ เช่นนี้ถือได้ว่า โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ จึงย่อมมีสิทธิฟ้องจำเลยให้รื้อถอนโรงเรือนที่ปิดกั้นนั้นไปและไม่ให้เข้าเกี่ยวข้องได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยสมคบกันบุกรุกขุดคู ปลูกต้นไม้ และโรงหน้าที่ดินของโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้บังคับจำเลยมิให้เข้ามาเกี่ยวข้องและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างกับใช้ค่าเสียหายด้วย

จำเลยให้การปฏิเสธต่อสู้คดี

ศาลชั้นต้นสั่งรวมการพิจารณาและพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่พิพาท กับให้จำเลยรื้อเรือนโรงสิ่งปลูกสร้างออกไป ห้ามเกี่ยวข้อง และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นข้าวเปลือกแก่นายหลอมโจทก์ปีละ 40 ถัง กับให้ใช้ค่าเสียหายแก่เด็กหญิงยานีโจทก์เป็นข้าวเปลือกปีละ 12 ถัง จนกว่าจำเลยจะออกจากที่ของโจทก์

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน แต่มีผู้พิพากษานายหนึ่งมีความเห็นแย้ง

จำเลยฎีกา

มีปัญหาข้อกฎหมายมาสู่ศาลฎีกาว่า ที่พิพาทอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งมีความเห็นแย้งในชั้นอุทธรณ์ว่า โจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยนั้น ได้ความว่า ที่ดินสาธารณะตอนที่อยู่ตรงหน้าที่ดินตามโฉนดของโจทก์นั้น ผู้เช่านาของโจทก์ได้ใช้สิทธิเก็บผักและตัดต้นกกในที่ตอนนั้นมาสานเป็นเสื่อและใช้เป็นทางเดินผ่านไปในที่นา เมื่อฝ่ายโจทก์ใช้สิทธิเหนือที่นั้นมาก่อน ก็ย่อมคงมีสิทธิในที่นั้นดีกว่าจำเลยซึ่งเป็นราษฎรด้วยกัน ในอันที่จะขอให้จำเลยเลิกการเกี่ยวข้องขัดขวางสิทธิดังกล่าวของฝ่ายโจทก์ได้ เพราะการที่จำเลยเข้ายึดถือที่สาธารณสมบัติตอนหน้าที่ดินของโจทก์ โดยการปลูกโรงเรือนและขุดคูทำให้โจทก์ขาดความสะดวกและปิดกั้นหน้าที่ดินย่อมถือได้ว่าจำเลยใช้สิทธิของตนเป็นเหตุให้เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินที่ควรคิดหรือคาดหมายได้ว่าจะเป็นไปตามปกติและเหตุอันควรในเมื่อเอาสภาพและตำแหน่งที่อยู่แห่งทรัพย์สินนั้นมาคำนึงประกอบ โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์จึงมีสิทธิที่จะปฏิบัติการเพื่อยังความเสียหายหรือเดือดร้อนนั้นให้สิ้นไปโดยการฟ้องขอให้ศาลบังคับ เพราะถือว่าโจทก์ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน ยกฎีกาจำเลย

Share