คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 702/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยยักยอกเงินที่ได้จากการจำหน่ายตราไปรษณียากรซึ่งอยู่ในความดูแลรักษาของจำเลยไป แต่โจทก์นำสืบไม่ได้ว่าจำเลยได้จำหน่ายตราไปรษณียากรดังกล่าวไปแล้วยักยอกเอาเงินที่จำหน่ายไปเป็นของจำเลย จำเลยอาจยักยอกเอาตราไปรษณียากรไปเพื่อจำหน่ายในภายหลังก็ได้ จึงลงโทษจำเลยในข้อเท็จจริงส่วนนี้ไม่ได้และจำเลยไม่ต้องใช้เงินจำนวนดังกล่าวคืนแก่ผู้เสียหาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นพนักงานการสื่อสารแห่งประเทศไทยได้ยักยอกเงินที่ได้รับจากประชาชนมาใช้บริการ และได้จากการจำหน่ายตราไปรษณียากร ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบดูแลเก็บรักษาของจำเลยไปขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 3, 4, 11 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91, 147, 157, 352 และให้จำเลยคืนเงิน 234,367.88 บาทแก่ผู้เสียหาย จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามมาตรา 147, 157รวม 2 กระทง ลงโทษตามมาตรา 147 ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุกกระทงละ10 ปี รวมจำคุก 20 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสี่ คงจำคุก 15 ปี ให้จำเลยคืนเงิน 234,364.88 บาท แก่ผู้เสียหาย ข้อหาอื่นให้ยก จำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 จำคุก 10 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสี่ คงจำคุก 7 ปี 6 เดือนให้จำเลยคืนเงิน 126,614.38 บาท แก่ผู้เสียหาย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยมีหน้าที่ต้องคืนเงินจำนวน 100,000 บาท แก่ผู้เสียหายด้วย เพราะผู้อำนวยการสำนักงานการสื่อสารไปรษณีย์เขต 5 มีคำสั่งห้ามจ่ายเงินไว้ย่อมถือว่าผู้เสียหายได้รับเงินจำนวนดังกล่าวไปแล้วไม่ได้นั้นเห็นว่า เมื่อจำเลยไม่มีสิทธิรับเงินจำนวนนี้ ก็ไม่สมควรที่ศาลจะสั่งให้จำเลยคืนเงินจำนวนนี้ให้ผู้เสียหาย เพราะกรณีเช่นนี้น่าจะถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาคืนเงินให้ผู้เสียหายแล้ว ดังคำแก้ฎีกาของจำเลยซึ่งระบุว่า ผู้เสียหายชอบที่จะรับเงินจำนวนนี้คืนไปได้สำหรับตราไปรษณียากรจำนวน 7,753.50 บาท นั้น โจทก์นำสืบไม่ได้ว่าจำเลยได้จำหน่ายไปแล้วเบียดบังยักยอกเอาเงินที่จำหน่ายไปเป็นของจำเลยดังที่โจทก์ฟ้องและฎีกา จำเลยอาจยักยอกเอาตราไปรษณียากรไปเพื่อจำหน่ายในภายหลังดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาก็ได้ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าลงโทษจำเลยในข้อเท็จจริงส่วนนี้ไม่ได้และจำเลยไม่ต้องใช้เงินจำนวนนี้คืนแก่ผู้เสียหาย จึงต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยคืนเงินให้ผู้เสียหายเพียง 126,614.38 บาท จึงชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share