คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่โจทก์อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ชำระหนี้เงินกู้แต่ไม่เต็มตามฟ้องพร้อมกับยื่นคำร้องขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างอุทธรณ์ โดยอ้างเหตุผลว่า หากให้จำเลยที่ 1 ไถ่ถอนทรัพย์จำนองตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เมื่อโจทก์ชนะคดี (ชั้นอุทธรณ์เต็มตามฟ้อง) โจทก์จะไม่ได้รับชำระหนี้จากจำเลยที่ 1 เพราะไม่มีหลักทรัพย์เป็นประกันและไม่มีบุริมสิทธิจำนอง คำร้องของ โจทก์ดังกล่าวมิใช่กรณีขอทุเลาการบังคับแต่เป็นการขอคุ้มครองประโยชน์ก่อนศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งงดการไถ่ถอนทรัพย์จำนองไว้ในระหว่างอุทธรณ์ได้ ศาลอุทธรณ์สั่งให้งดการไถ่ถอนทรัพย์จำนองไว้ในระหว่างอุทธรณ์ก็เพื่อจะได้คุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ในกรณีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 รับผิดชำระหนี้แก่โจทก์เพิ่มขึ้นตามฟ้องอุทธรณ์ ซึ่งหากปล่อยให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ไถ่ถอนทรัพย์จำนองตามจำนวนหนี้ในคำพิพากษาศาลชั้นต้นไปเสียถ้าต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์ชนะคดีชั้นอุทธรณ์เต็มตามฟ้องและจำเลยที่ 1 ที่ 2 จะต้องรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์เพิ่มขึ้นแล้ว โจทก์จะเสียประโยชน์ขาดทรัพย์จำนองเป็นประกันการชำระหนี้ แม้จำเลยที่ 1 ที่ 2 จะเสนอวางเงินหรือหลักประกันต่อศาลเต็มตามฟ้อง แต่สิทธิของผู้รับจำนองนั้นมีสิทธิได้รับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้สามัญจึงเป็นสิทธิตามกฎหมายดีกว่าการที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 จะวางเงินหรือหลักประกันไว้ต่อศาล.

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนนี้สืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์รวมสองสำนวนเป็นเงิน 25,766,000บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ของต้นเงิน 500,000บาท นับแต่วันที่ 8 ธันวาคม 2528 จนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 25927 แขวงบางบำหรุ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร และอาคารชุดรวม 76 ห้องชุด ในที่ดินโฉนดเลขที่ 25914 ซึ่งเป็นทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้โจทก์ในแต่ละสำนวนหากไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 1 ที่ 2 เอาชำระหนี้โจทก์จนครบ คำขออื่นของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก กับยกฟ้องแย้ง
โจทก์อุทธรณ์พร้อมกับยื่นคำร้องขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างอุทธรณ์ โดยอ้างเหตุผลว่า หากให้จำเลยที่ 1ไถ่ถอนทรัพย์จำนองตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เมื่อโจทก์ชนะคดี (ชั้นอุทธรณ์เต็มตามฟ้อง) โจทก์จะไม่ได้รับชำระหนี้จากจำเลยที่ 1 เพราะไม่มีหลักทรัพย์เป็นประกันและไม่มีบุริมสิทธิจำนอง ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คำร้องของโจทก์มิใช่กรณีขอทุเลาการบังคับ แต่พอแปลได้ว่าเป็นการขอคุ้มครองประโยชน์ก่อนศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษา จึงมีคำสั่งให้งดการไถ่ถอนทรัพย์จำนองไว้ในระหว่างอุทธรณ์
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้ศาลอุทธรณ์ยกเลิกคำสั่งดังกล่าวโดยจำเลยที่ 1 ที่ 2 ขอไถ่ถอนทรัพย์จำนองตมมคำพิพากษาศาลชั้นต้นพร้อมกับเสนอขอวางเงินหรือหลักประกันเพิ่มขึ้นให้เท่ากับจำนวนหนี้ที่โจทก์ฟ้องหรือตามที่ศาลอุทธรณ์จะเห็นสมควรกำหนด
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ยกคำร้อง
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกาคำสั่งศาลอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นต่อศาลฎีกาศาลฎีกาสั่งให้รับฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ศาลอุทธรณ์สั่งให้งดการไถ่ถอนทรัพย์จำนองไว้ในระหว่างอุทธรณ์ก็เพื่อจะได้คุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ในกรณีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 รับผิดชำระหนี้แก่โจทก์เพิ่มขึ้นตามคำฟ้องอุทธรณ์ ซึ่งหากปล่อยให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ไถ่ถอนทรัพย์จำนองตามจำนวนหนี้ในคำพิพากษาศาลชั้นต้นไปเสียก่อนที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาคดี ถ้าต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์ชนะคดีชั้นอุทธรณ์เต็มตามฟ้องอุทธรณ์และจำเลยที่ 1 ที่ 2 จะต้องรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์เพิ่มขึ้น โจทก์ย่อมจะเสียประโยชน์ ขาดทรัพย์จำนองเป็นประกันการชำระหนี้ แม้จำเลยที่ 1 ที่ 2 จะเสนอวางเงินหรือหลักประกันต่อศาลเป็นประกันการชำระหนี้แก่โจทก์เพิ่มขึ้นให้เต็มตามฟ้อง แต่สิทธิของผู้รับจำนองนั้นมีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้สามัญ จึงเป็นสิทธิที่ให้ความคุ้มครองตามกฎหมายแก่โจทก์ได้ดีกว่าการที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ขอวางเงินหรือหลักประกันต่อศาลเป็นประกันการชำระหนี้แก่โจทก์ที่จะได้รับตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ การยกเลิกคำสั่งคุ้มครองประโยชน์และรับเงินหรือหลักประกันของจำเลยที่ 1 ที่ 2ไว้เป็นประกัน อาจจะก่อความเสียหายแก่โจทก์ได้ ดังนั้นข้ออ้างตามคำร้องของจำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงยังไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะให้ศาลอุทธรณ์สั่งยกเลิกคำสั่งคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ดังกล่าวนั้นเสียได้ ศาลอุทธรณ์สั่งยกคำร้องของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share