แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
พยานโจทก์ที่รู้เห็นและเป็นพยานในคดีเป็นเจ้าพนักงานตำรวจผู้มีหน้าที่จับกุมและปราบปรามการกระทำความผิดตามอำนาจหน้าที่ของตน หากเบิกความบิดเบือนจากข้อเท็จจริงอาจมีความผิดและได้รับโทษ จึงมีเหตุผลน่าเชื่อว่าเบิกความไปตามสัตย์จริงส่วนการมีสายลับมาช่วยในการล่อซื้อด้วยเป็นแต่เพียงการกระทำเท่าที่จำเป็นและสมควรในการสืบหาพยานหลักฐาน ตามอำนาจในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 2(10) ชอบที่เจ้าพนักงานตำรวจจะกระทำได้เพื่อให้ได้โอกาสจับกุมพร้อมด้วยพยานหลักฐาน แม้จะไม่นำตัวสายลับมาสืบเนื่องจากเพื่อประโยชน์แก่ราชการในภายหน้าหรือเพื่อความปลอดภัยของสายลับ ก็รับฟังพยานบุคคลและของกลางที่เกี่ยวข้องกับสายลับนั้นได้ว่ามีสายลับช่วยในการล่อซื้อจริงพยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมาจึงมีน้ำหนักมั่นคงฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำผิดจริง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 102 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2528 มาตรา 4 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 90 พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 3, 30, 31 ริบเฮโรอีนของกลาง และริบรถยนต์ของกลางเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด
จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ให้การปฏิเสธ
จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคแรก, 66 วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 ลงโทษฐานจำหน่ายเฮโรอีนอันเป็นบทหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 ให้ประหารชีวิต จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52(2) คงจำคุก 30 ปี จำเลยที่ 1 และที่ 4 ให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52(1) คงลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1และที่ 4 ตลอดชีวิต ริบเฮโรอีนและรถยนต์ของกลาง โดยให้รถยนต์ของกลางเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ส่วนจำเลยที่ 3 ให้ยกฟ้อง
โจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 มีความผิดตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 30, 31 อีกบทด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 และที่ 4 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 4 ว่า จำเลยที่ 1 และที่ 4 ได้ร่วมกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นสมควรวินิจฉัยรวมกันไป พยานโจทก์ที่ยืนยันว่า จำเลยที่ 1 และที่ 4 กระทำความผิดมีพันตำรวจโทอวยพร จินตกานนท์ หัวหน้าหน่วยปราบปรามยาเสพติดภาคเหนือ นำสืบได้ความตามลำดับว่า เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2534 ได้มอบหมายให้จ่าสิบตำรวจธวิทย์ภักดี ปลอมตัวเป็นลูกน้องของผู้ซื้อเฮโรอีนรายใหญ่จากกรุงเทพมหานคร ไปพบจำเลยที่ 4 กับพวกที่ศาลาที่พักผู้โดยสารริมถนนสายเชียงใหม่-ลำปาง ตรงข้ามศาลคดีเด็กและเยาวชนจังหวัดเชียงใหม่ โดยไปกับสายลับ 1 คน ในวันนั้นพยานได้ไปซุ่มดูเหตุการณ์และถ่ายรูปไว้ตามภาพถ่ายหมาย จ.1 แล้ว จ่าสิบตำรวจธวิทย์ได้มาแจ้งให้พยานทราบว่าได้มีการพูดคุยกับจำเลยที่ 4 ถึงการซื้อขายเฮโรอีน จำนวน 20 ตัว โดยจำเลยที่ 4 จะขายให้ราคาตัวละ 80,000 บาท แต่ตกลงซื้อขายกันไม่สำเร็จเนื่องจากจำเลยที่ 4 ต้องการเงิน 1,600,000 บาท ล่วงหน้า ต่อมาวันที่ 8 ธันวาคม 2534 เวลาประมาณ 12 นาฬิกาพยานได้ปลอมตัวเป็นผู้ซื้อเฮโรอีนโดยเป็นลูกพี่ของจ่าสิบตำรวจธวิทย์พร้อมกับสายลับได้ไปพบจำเลยที่ 4 กับพวกที่เต็นท์ตรวจสภาพรถยนต์ของสถานีขนส่งเชียงใหม่ 2(สถานีขนส่งอาเขต) พยานได้เจรจาซื้อขายเฮโรอีนกับจำเลยที่ 4 โดยจำเลยที่ 4 จะขายในราคาตัวละ 80,000 บาท ขอเงินล่วงหน้าครึ่งหนึ่งก่อนเมื่อเอาเฮโรอีนมาส่งให้ก็จะรับเงินส่วนที่เหลือด้วย แต่พยานไม่ตกลง และได้เสนอเงื่อนไขใหม่ว่าให้จำเลยที่ 4 ตรวจนับเงินให้ครบถ้วนก่อน และเมื่อนำเฮโรอีนมาส่งให้แล้วจึงค่อยรับเงินไปทั้งหมด แต่จำเลยที่ 4 ไม่ยอมตกลงด้วย ในการเจรจาครั้งนี้พยานได้มอบหมายให้จ่าสิบตำรวจธวิทย์ซุ่มดูและถ่ายรูปไว้ตามภาพถ่ายหมาย จ.2 หลังจากนั้นก็มิได้ติดต่อกับจำเลยที่ 4 อีก จนกระทั่งวันที่ 23 พฤษภาคม 2536 ได้มีสายลับมาแจ้งให้พยานไปพบกับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นคนขายเฮโรอีนด้วย สายลับได้แจ้งให้ทราบว่าจำเลยที่ 4 เป็นผู้แนะนำให้สายลับรู้จักกับจำเลยที่ 1 แล้วสายลับได้พาพยานไปพบกับจำเลยที่ 1 และชายไม่ทราบชื่ออีกคนหนึ่งที่บริเวณร้านอาหารสถานีขนส่งอาเขต ได้เจรจาซื้อขายเฮโรอีนกับจำเลยที่ 1โดยจำเลยที่ 1 เสนอขาย 16 ตัว ราคาตัวละ 100,000 บาท พยานได้ต่อรองเหลือตัวละ90,000 บาท โดยตกลงกันว่าจำเลยที่ 1 จะตรวจนับเงินค่าเฮโรอีนจากพยานก่อน เมื่อถูกต้องแล้วจะยังไม่รับเงินไป แต่จะให้คนของพยานขับรถตามรถของจำเลยที่ 1 ไปรับเฮโรอีน เมื่อได้เฮโรอีนแล้วจึงจะกลับมารับเงิน ส่วนวันเวลาที่ส่งมอบเฮโรอีนกันจะกำหนดขึ้นในภายหลัง โดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้กำหนดและบอกผ่านมาทางสายลับ หลังจากเจรจาตกลงกันเรียบร้อยแล้ว จำเลยที่ 1 ก็ขับรถยนต์กระบะโตโยต้าสีขาวคันหมายเลขทะเบียนท-0691 เชียงใหม่ ไป ในการเจรจาครั้งนี้พยานได้มอบหมายให้จ่าสิบตำรวจสรลักษณ์สังข์ศรี ซุ่มดูและถ่ายรูปไว้ ตามภาพถ่ายหมาย จ.3 และสายลับได้แจ้งความเคลื่อนไหวของจำเลยที่ 1 กับพวกให้พยานทราบเป็นระยะ ๆ ว่า จำเลยที่ 1 กำลังรวบรวมเฮโรอีนมาขายให้ ต่อมาวันที่ 17 กรกฎาคม 2536 สายลับได้โทรศัพท์มาแจ้งให้พยานทราบว่าจำเลยที่ 1 ได้นำเฮโรอีนมาเก็บไว้เรียบร้อยแล้ว พร้อมที่จะนำมาขายให้แก่พยาน จำเลยที่ 1 ขอให้พยานไปพบเจ้าของเฮโรอีน ในวันที่ 18 กรกฎาคม 2536 เวลา 10 นาฬิกาที่ร้านอาหารสถานีขนส่งอาเขต เพื่อตกลงรายละเอียดวันเวลาส่งมอบให้แน่นอนอีกครั้งหนึ่ง ครั้นถึงเวลานัดพยานและจ่าสิบตำรวจธวิทย์กับสายลับได้ไปที่ร้านอาหารสถานีขนส่งอาเขต เมื่อถึงที่นัดพบได้พบกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 โดยจำเลยที่ 1 แจ้งให้ทราบว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นสามีภริยากันเป็นเจ้าของเฮโรอีนจึงเจรจาตกลงกันว่า ในวันที่19 กรกฎาคม 2536 เวลาประมาณ 10 นาฬิกา ให้พยานนำเงินจำนวน 1,800,000 บาทค่าเฮโรอีนใส่รถยนต์ไปจอดไว้ที่ศูนย์หัตถกรรมทำร่ม ตำบลบ่อสร้าง อำเภอสันกำแพงจังหวัดเชียงใหม่ โดยจำเลยที่ 2 และที่ 3 จะเป็นผู้ตรวจนับเงิน เมื่อตรวจนับครบถ้วนแล้วจำเลยที่ 2 และที่ 3 จะคุมตัวพยานไว้ที่นั่นพร้อมเงินทั้งหมด ส่วนจำเลยที่ 1 จะเป็นผู้ขับรถนำจ่าสิบตำรวจธวิทย์ซึ่งจะขับรถอีกคันหนึ่งตามไปรับเฮโรอีน ขณะนั้นจำเลยที่ 1ไม่ได้บอกว่าเฮโรอีนอยู่ที่ไหน เมื่อรับเฮโรอีนแล้วจำเลยที่ 1 และจ่าสิบตำรวจธวิทย์จะต้องขับรถกลับมารับพยานเพื่อแจ้งให้จ่ายเงินค่าเฮโรอีนแก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 เจรจากันเสร็จแล้วก็ออกจากร้านอาหารพร้อมกันทั้งหมด จำเลยที่ 1 ไปขับรถยนต์กระบะโตโยต้าสีขาวหมายเลขทะเบียน ท-0691 เชียงใหม่ ออกไป จำเลยที่ 2 ขับรถยนต์กระบะโตโยต้าสีขาวหมายเลขทะเบียน ภ-5081 ออกไปกับจำเลยที่ 3 ในการเจรจาครั้งนี้พยานได้มอบหมายให้จ่าสิบตำรวจสรลักษณ์ซุ่มดูและถ่ายรูปไว้ ตามภาพถ่ายหมาย จ.4 ในวันที่19 กรกฎาคม 2536 เวลาประมาณ 9 นาฬิกา พยานได้ประชุมผู้ใต้บังคับบัญชาแจ้งเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่ต้นให้ทราบโดยละเอียดและวางแผนจับกุมโดยแบ่งกำลังเป็น 2 ชุด ชุดแรกมีพันตำรวจโทพินิจ ปุยสุวรรณ กับพวกรวม 10 คน ใช้รถยนต์เป็นยานพาหนะไปซุ่มดูเหตุการณ์ที่ศูนย์หัตถกรรมทำร่มและมีหน้าที่คุ้มกันเงินที่ใช้ล่อซื้อชุดที่ 2 มีพันตำรวจตรีดุษฎี อารยวุฒิ กับพวกรวม 10 คน ใช้รถยนต์ 2 คัน รถจักรยานยนต์ 3 คันเป็นยานพาหนะคอยสะกดรอยติดตามจ่าสิบตำรวจธวิทย์ไปรับเฮโรอีน เมื่อจ่าสิบตำรวจธวิทย์รับเฮโรอีนและตรวจสอบว่าเป็นเฮโรอีนแล้ว ขณะขับรถกลับมารับพยานที่ศูนย์หัตถกรรมทำร่มให้ส่งสัญญาณจับกุมคือกะพริบไฟใหญ่หน้ารถ แล้วเจ้าพนักงานตำรวจทุกคนเข้าจับกุมโดยเงินที่ใช้ล่อซื้อพยานได้ติดต่อขอยืมมาจากสำนักงานปราบปรามยาเสพติดสหรัฐอเมริกา จังหวัดเชียงใหม่ ตามเอกสารหมาย จ.5 แล้วพยานได้ขับรถไปคนละคันกับจ่าสิบตำรวจธวิทย์ เมื่อไปถึงศูนย์หัตถกรรมทำร่มเวลาประมาณ 10 นาฬิกา ก่อนที่จะเข้าไปเห็นจำเลยทั้งสี่ยืนอยู่ข้างศูนย์หัตถกรรมทำร่มใกล้รถยนต์ 2 คันดังกล่าวมาแล้ว เมื่อพยานจอดรถที่ลานจอดรถ จำเลยที่ 2 ก็ขับรถยนต์กระบะโตโยต้าสีขาวหมายเลขทะเบียน ภ-5081 มีจำเลยที่ 3 นั่งมาด้วย มาจอดใกล้ ๆ รถยนต์ของพยาน สักครู่หนึ่งจำเลยที่ 4 ได้เดินตามมาพบพยานด้วย พยานได้นำจำเลยที่ 2 เข้าไปในรถยนต์ของพยานโดยให้นั่งบริเวณตอนหลังด้านซ้าย ส่วนพยานเข้าไปนั่งบริเวณตอนหลังด้านขวา แล้วนำกระเป๋าบรรจุเงิน 1,800,000 บาท มาเปิดให้จำเลยที่ 2ตรวจดูโดยมีจำเลยที่ 4 ยืนดูอยู่ที่ประตูรถตอนหลังด้านซ้าย ส่วนจำเลยที่ 3 นั่งคอยอยู่บนรถที่นั่งมาไม่ได้ลงมาดูด้วย หลังจากจำเลยที่ 2 ตรวจนับเงินแล้วก็ได้ออกมาจากรถพยานได้นำกระเป๋าบรรจุเงินดังกล่าวเก็บไว้ที่ท้ายรถ ขณะนั้นจ่าสิบตำรวจธวิทย์คุยกับจำเลยที่ 1 อยู่บริเวณนอกรั้วของศูนย์หัตถกรรมทำร่ม หลังจากนั้นพยานกับจำเลยที่ 2 ได้เดินไปนั่งที่ร้านขายกาแฟของศูนย์หัตถกรรมทำร่ม ส่วนจำเลยที่ 4 นั่งอยู่บริเวณที่นั่งใต้ต้นไม้ซึ่งอยู่ใกล้กับรถยนต์ของพยานจอดเพื่อคุ้มกันเงินไม่ให้ถูกเคลื่อนย้าย ขณะนั่งอยู่ในร้านกาแฟนั้นจำเลยที่ 2 ก็แจ้งให้พยานทราบว่า ได้ให้จำเลยที่ 1 พาจ่าสิบตำรวจธวิทย์ไปรับเฮโรอีนแล้ว และจำเลยที่ 2 ได้พูดคุยต่อไปว่า หากการซื้อขายเฮโรอีนครั้งนี้เป็นไปด้วยดี ต่อไปจำเลยที่ 2 ก็สามารถจะหาเฮโรอีนมาขายให้พยานได้จำนวน 50 ถึง 100 ตัว โดยจะยังไม่ต้องรับเงินจากพยานไป ทั้งอ้างด้วยว่าเป็นทหารของขุนส่ามีหน้าที่คอยส่งเสบียง จำเลยที่ 2 ได้มอบนามบัตรให้พยานไว้เพื่อใช้ในการติดต่อซื้อขายเฮโรอีน กันในครั้งต่อไป ตามเอกสารหมาย จ.6 จนกระทั่งเวลาประมาณ 11 นาฬิกาพันตำรวจตรีดุษฎีกับพวกจึงมาแสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยที่ 2 ขณะเดียวกันพยานก็ได้แสดงตนเป็นเจ้าพนักงานตำรวจด้วย และจับจำเลยที่ 3 ที่ 4 ได้ที่บริเวณลานจอดรถพร้อมรถยนต์กระบะโตโยต้าสีขาวหมายเลขทะเบียน ภ-5081 เชียงใหม่ไว้เป็นของกลาง และได้รับแจ้งจากชุดจับกุมชุดที่ 2 ว่า ได้จับจำเลยที่ 1 ซึ่งไปรับเฮโรอีนพร้อมจ่าสิบตำรวจธวิทย์ได้พร้อมเฮโรอีนอัดแท่งจำนวน 40 แท่ง หรือ 20 ตัว ที่บริเวณถนนข้างที่ว่าการอำเภอสันกำแพง และยึดรถกระบะโตโยต้าสีขาวหมายเลขทะเบียน ท-0691 เชียงใหม่ ไว้เป็นของกลางด้วย ในวันเกิดเหตุที่มีการล่อซื้อจ่าสิบตำรวจสรลักษณ์ได้ถ่ายรูปไว้ด้วยตามภาพถ่ายหมาย จ.7 แล้วควบคุมตัวจำเลยทั้งสี่ไปหน่วยปราบปรามยาเสพติดจังหวัดเชียงใหม่ ตรวจชั่งน้ำหนักของกลางรวมทั้งสิ่งห่อหุ้มหนักประมาณ 14,000 กรัม และตรวจสอบด้วยน้ำยาเคมี ผลปรากฏว่าเป็นเฮโรอีนจริง จึงแจ้งข้อหาจำเลยทั้งสี่ว่าร่วมกันมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 (เฮโรอีน) ไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่าย จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ให้การรับสารภาพ จำเลยที่ 4 ให้การปฏิเสธ ตามบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.8 และได้ถ่ายรูปจำเลยทั้งสี่พร้อมเฮโรอีนของกลางไว้ ตามภาพถ่ายหมาย จ.9 แล้วส่งตัวจำเลยทั้งสี่ให้พนักงานสอบสวนกองบัญชาการปราบปรามยาเสพติดดำเนินคดี โดยโจทก์มีจ่าสิบตำรวจธวิทย์ ภักดี จ่าสิบตำรวจสรลักษณ์ สังข์ศรี มาเบิกความสนับสนุนได้ความสอดคล้องต้องกันและรับกันกับพันตำรวจโทอวยพรเป็นอย่างดี คำเบิกความมีรายละเอียดเชื่อมโยงกันสมเหตุผลและตรงกับภาพถ่ายที่ส่งอ้าง เห็นว่า พยานโจทก์เหล่านี้ได้มารู้เห็นและเป็นพยานในคดีเพราะเป็นเจ้าพนักงานตำรวจผู้มีหน้าที่จับกุมและปราบปรามการกระทำความผิดตามอำนาจหน้าที่ของตน หากเบิกความบิดเบือนจากข้อเท็จจริงอาจมีความผิดและได้รับโทษ จึงมีเหตุผลน่าเชื่อว่าเบิกความไปตามสัตย์จริง ส่วนการมีสายลับมาช่วยให้การล่อซื้อด้วยก็เป็นแต่เพียงการกระทำเท่าที่จำเป็นและสมควรในการสืบหาพยานหลักฐาน ตามอำนาจในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 1(10) ชอบที่เจ้าพนักงานตำรวจจะกระทำได้ เพื่อให้ได้โอกาสจับกุมพร้อมด้วยพยานหลักฐาน แม้จะไม่นำตัวสายลับมาสืบเนื่องจากเพื่อประโยชน์แก่ราชการในภายหน้าหรือเพื่อความปลอดภัยของสายลับ ก็รับฟังพยานบุคคลและของกลางที่เกี่ยวข้องกับสายลับนั้นได้ว่า มีสายลับช่วยในการล่อซื้อจริง พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมาจึงมีน้ำหนักมั่นคงฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่าจำเลยที่ 1 และที่ 4 ได้ร่วมกระทำผิดจริงดังโจทก์ฟ้อง พยานจำเลยที่ 1 และที่ 4 ไม่อาจหักล้างพยานโจทก์ได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 4 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน