แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องแยกกันเป็น 2 สำนวน สำนวนหนึ่งว่าจำเลยสมคบกับพวกอีก 2 คนปล้นทรัพย์อีกสำนวนหนึ่งว่าจำเลยในสำนวนที่ 2 สมคบกับสำนวนแรกและพวกอีกคนหนึ่งปล้นทรัพย์รายเดียวกันทางพิจารณาปรากฎว่าจำเลยในสำนวนแรกทำผิดจริง แต่จำเลยในสำนวนหลังมิได้ทำผิดเช่นนี้ ลงโทษจำเลยในสำนวนแรกได้คดีไม่เข้า ม.192 ฎีกาอุทธรณ์ ฎีกาที่ระบุข้อเท็จจริงแต่เพียงย่อ ๆ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องเป็น ๒ สำนวน ๆ แรกหาว่านายริ้วจำเลยกับพวกอีก ๒ คนสมคบกับปล้นทรัพย์ อีกสำนวนหนึ่งหาว่านายแสวงจำเลยสมคบกับจำเลยที่ฟ้องแล้ว(หมายถึงนายริ้ว) กับพวกอีกคนหนึ่งปล้นทรัพย์ ศาลชั้นต้นสั่งให้รวมพิจารณา และฟังข้อเท็จจริงว่านายริ้วจำเลยได้ทำผิดจริงดังฟ้อง ส่วนนายแสวงจำเลยนั้นได้ความเพียงว่าได้ชวนเจ้าทรัพย์ให้กลับทางบกจึงเป็นเหตุให้ถูกปล้นจึงไม่มีผิด ให้ยกฟ้องนายแสวงเสีย คดีฉะเพาะนายแสวงยุตติแต่ชั้นศาลต้น ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษายังไม่ชอบด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายหลายประการและระบุข้อกฎมหายว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในฟ้องต่างกับที่ปรากฎในทางพิพจารณา ศาลควรยกฟ้อง
ศาลฎีกาตัดสินว่าฎีกาของจำเลยในข้อเท็จจริงนั้นมิได้ระบุอ้างอิงข้อใดมาในฎีกาจึงไม่มีปัญหาจะต้องวินิจฉัย คงมีว่าการที่โจทก์ยื่นฟ้อง ๒ ฉะบับ ฉะบับหนึ่งกล่าวว่านายแสวงกับนายริ้วและพวกอีกคนหนึ่งปล้นทรัพย์แต่ทางพิจารณาปรากฎว่านายแสวงมากับเจ้าทรัพย์ส่วนพวกผู้ร้ายมีอีก ๓ คนต่างหากรวมทั้งนายริ้วจำเลยด้วย เห็นว่าคดีไม่เข้า ม.๑๙๒ ดังจำเลยอ้างอิง และฟ้องของโจทก์อีกฉะบับหนึ่งว่านายริ้วกับพวกอีก ๒ คนทำการปล้นทรัพย์และโจทก์ก็สืบสมตามฟ้องนี้ จึงเห็นว่าลงโทษนายริ้วได้ ยืนตามศาลล่าง