คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6882/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การพิจารณาว่าคดีใดจะต้องเสียค่าขึ้นศาลเท่าใด จำต้องพิจารณาจากคำฟ้องของคดีนั้นเป็นเกณฑ์
โจทก์ทั้งยี่สิบบรรยายฟ้องว่า โจทก์แต่ละคนต่างเป็นผู้เช่าแผงขายของในตลาด โดยมิได้เกี่ยวข้องกัน โจทก์ทั้งยี่สิบจึงมิได้มีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดีและต่างใช้สิทธิฟ้องคดีนี้เป็นการเฉพาะตัวโจทก์ทั้งยี่สิบสามารถที่จะยื่นฟ้องจำเลยแยกจากกันได้ ทั้งศาลอาจมีคำสั่งให้โจทก์แต่ละคนแยกฟ้องจำเลยออกจากกันหรือศาลอาจให้รวมพิจารณาไปในคราวเดียวกันได้ เมื่อเห็นว่าเป็นการสะดวกรวดเร็ว และเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ทุนทรัพย์ของโจทก์แต่ละคนจึงแยกจากกันได้ เมื่อโจทก์ทั้งยี่สิบฟ้องจำเลยรวมกันมาในคดีเดียวกัน จึงต้องคำนวณค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ที่โจทก์แต่ละคนเรียกร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์ทั้งยี่สิบเสียค่าขึ้นศาลเพิ่มเป็นรายคน การที่โจทก์ทั้งยี่สิบไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลชั้นต้นจึงเป็นการทิ้งฟ้อง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ทั้งยี่สิบฟ้องว่า จำเลยทั้งแปดกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งยี่สิบ ขอให้ศาลบังคับจำเลยทั้งแปดห้ามเกี่ยวข้องกับตลาดปัฐวิกรณ์ และให้เลิกกระทำการใด ๆอันเป็นการข่มขู่คุกคามโจทก์ทั้งยี่สิบเพื่อมิให้ค้าขายในตลาดตามปกติกับให้ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายในอัตราวันละ 10,000 บาทต่อคนต่อวัน ให้แก่โจทก์ทุกคนต่อไปจนกว่าจะเลิกเข้าเกี่ยวข้องในตลาด กับให้เพิกถอนคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลชั้นต้นในคดีหมายเลขดำที่ 6566/2540 ระหว่างบริษัทโชคชัยทรัพย์ทวีจำกัด โจทก์ บริษัทปัฐวิกรณ์ จำกัด กับพวก จำเลย ลงวันที่ 27เมษายน 2541 ระหว่างพิจารณาโจทก์ทั้งยี่สิบขอถอนฟ้องจำเลยที่ 7 ศาลชั้นต้นอนุญาต จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 และที่ 8ให้การต่อสู้คดีว่ามิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งยี่สิบ ขอให้ยกฟ้องระหว่างพิจารณาศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์ทั้งยี่สิบเสียค่าขึ้นศาลรวมกันมาเพียง 200 บาท และค่าขึ้นศาลในอนาคต 100 บาท นั้นเป็นการไม่ถูกต้อง จึงมีคำสั่งให้โจทก์ทั้งยี่สิบเสียค่าขึ้นศาลเพิ่มโดยให้เสียเป็นรายคนคนละ 300 บาท รวมโจทก์ยี่สิบคนเป็นเงิน6,000 บาท แต่โจทก์ทั้งยี่สิบเสียมาแล้ว 300 บาท คงต้องเสียเพิ่มอีกจำนวน 5,700 บาท โดยให้เสียภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดโจทก์ทั้งยี่สิบไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งว่าโจทก์ทั้งยี่สิบทิ้งฟ้องและจำหน่ายคดี

โจทก์ทั้งยี่สิบอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ทั้งยี่สิบฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การพิจารณาว่าคดีใดจะต้องเสียค่าขึ้นศาลเท่าใด จำต้องพิจารณาจากคำฟ้องของคดีนั้นเป็นเกณฑ์ ตามคำฟ้องคดีนี้ โจทก์ทั้งยี่สิบฟ้องว่า จำเลยทั้งแปดกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งยี่สิบ โดยกล่าวอ้างว่า โจทก์แต่ละคนเป็นผู้เช่าแผงขายของในตลาดปัฐวิกรณ์จากนายภูเทพ สิทธิถาวร ต่อมาเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2541 จำเลยทั้งแปดได้ร่วมกันละเมิดสิทธิของโจทก์ทั้งยี่สิบ โดยนำคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 6566/2540 มาปิดที่ตลาดดังกล่าว แล้วจำเลยทั้งแปดยังร่วมกันข่มขู่บังคับให้โจทก์ทั้งยี่สิบทำสัญญาเช่าใหม่กับจำเลยที่ 1 และชำระค่าเช่าต่อจำเลยที่ 2 ทั้งยังคุกคามโจทก์ทั้งยี่สิบมิให้ค้าขายในตลาดตามปกติ ทำให้โจทก์ทั้งยี่สิบได้รับความเสียหาย โจทก์แต่ละคนขอคิดค่าเสียหายจากจำเลยทั้งแปดวันละ 10,000 บาท กับให้เพิกถอนคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลชั้นต้น เห็นได้ว่า โจทก์ทั้งยี่สิบบรรยายฟ้องว่า โจทก์แต่ละคนต่างเป็นผู้เช่าแผงขายของในตลาดปัฐวิกรณ์ โดยมิได้เกี่ยวข้องกัน โจทก์ทั้งยี่สิบจึงมิได้มีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดีและต่างใช้สิทธิฟ้องคดีนี้เป็นการเฉพาะตัวโจทก์ทั้งยี่สิบสามารถที่จะยื่นฟ้องจำเลยทั้งแปดแยกจากกันได้ ทั้งศาลอาจมีคำสั่งให้โจทก์แต่ละคนแยกฟ้องจำเลยทั้งแปดออกจากกันหรือศาลอาจให้รวมพิจารณาไปในคราวเดียวกันได้ เมื่อเห็นว่าเป็นการสะดวกรวดเร็ว และเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ทุนทรัพย์ของโจทก์แต่ละคนจึงแยกจากกันได้ เมื่อโจทก์ทั้งยี่สิบคดีนี้ฟ้องจำเลยทั้งแปดรวมกันมาในคดีเดียวกัน จึงต้องคำนวณค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ที่โจทก์แต่ละคนเรียกร้อง มิใช่เสียค่าขึ้นศาลรวมกันที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์ทั้งยี่สิบเสียค่าขึ้นศาลเพิ่มเป็นรายคน คนละ 300 บาท รวมจำนวน5,700 บาท นั้นชอบแล้ว การที่โจทก์ทั้งยี่สิบไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลชั้นต้น จึงเป็นการทิ้งฟ้อง

พิพากษายืน

Share