คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 682/2479

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สมคบกันหลอกลวงเอาของที่ผู้อื่นไปทำสัญญาขายฝากไว้กับโจทก์ ถ้ายังไม่เกิน 1 ปีนับแต่โจทก์ทราบว่าที่ ๆ เอามาขายฝากไม่ใช่ที่ของจำเลยจนถึงวันฟ้อง โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายได้ คดียังไม่ขาดอายุความตามมาตรา 448

ย่อยาว

คดีนี้ได้ความว่า จำเลยทั้ง ๒ สมคบกันหลอกลวงโจทก์ว่านารายพิพาทนี้เป็นของจำเลยที่ ๑ ซึ่งความจริงเป็นของจำเลยที่ ๒ โจทก์หลงเชื่อจึงทำสัญญารับขายฝากไว้จากจำเลยเป็นเงิน ๓๐๐๐ บาท โจทก์จึงฟ้องเรียกค่าเสียหาย
ศาลชั้นต้นฟังว่าเมื่อจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาขายฝากแล้ว ก็ทำสัญญาเช่าจากโจทก์ไปจำเลยเลิกเช่าเมื่อปลายพ.ศ.๒๔๗๖ โจทก์จะเข้าทำนารายนี้ จำเลยที่ ๒ จึงขู่เข็ญเข้าขัดขวางมิให้โจทก์เข้าทำนารายนี้ โจทก์จึงฟ้องจำเลยทางอาญาหาว่าทำให้เสื่อมเสียอิศรภาพ แลฟ้องขับไล่จำเลยที่ ๒ ทางแพ่งด้วย ปรากฎว่าคดีอาญาศาลได้จำหน่ายคดีเสีย ส่วนทางแพ่งศาลพิพากษาให้ยกฟ้องโดยฟังว่า นาไม่ใช่ของจำเลยที่ ๑ โจทก์พึ่งทราบความจริงหลังจากฟ้องคดีแล้วเมื่อภายหลังเดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๔๗๗ ว่านารายพิพาทนี้ไม่ใช่ของจำเลยที่ ๑ จึงพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน ๓๐๐๐ บาทแก่โจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาว่า โจทก์ทราบการหลอกลวงตั้งแต่พ.ศ.๒๔๗๖ คดีขาดอายุความตาม ม.๔๔๘ แห่งประมวลแพ่ง ฯ
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยเมื่อวันที่ ๒๕ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๗๗ เมื่อฟ้องไปแล้วจึงทราบว่าที่พิพาทไม่ใช่ของจำเลยที่ ๑ โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๗๘ ฟ้องโจทก์จึงอยู่ในภายในกำหนดอายุความ ๑ ปี ส่วนข้อที่จำเลยว่าศาลล่างยกพะยานหลักฐานมาตัดสินมิชอบ โดยอาศัยพะยานหลักฐานในสำนวนก่อน ก็ไม่ปรากฎว่าศาลล่างได้อาศัยอะไรบ้าง ข้อฎีกาของจำเลยจึงเลื่อนลอย จึงพิพากษายืนตามศาลล่าง

Share