คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 681/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เขตที่ดินตามโฉนดของโจทก์และจำเลยอยู่ติดต่อกัน โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยรุกล้ำ จำเลยให้การว่าที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินตามโฉนดของจำเลยหรือหากว่าที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินตามโฉนดของโจทก์ จำเลยก็ได้ครอบครองที่นั้นมาโดยปรปักษ์ เป็นคำให้การที่ใช้ได้เพราะขณะจำเลยให้การยังไม่สามารถกำหนดได้โดยแน่ชัดว่าที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดของใครแน่ คำให้การของจำเลยจึงมีเหตุผลในการต่อสู้คดีและไม่มีนัยขัดกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินมีโฉนดซึ่งมีเขตติดต่อกัน จำเลยรุกล้ำที่ดินของโจทก์ด้านที่ติดต่อกัน ขอให้แสดงว่าที่พิพาทเป็นที่ดินในเขตโฉนดของโจทก์ ห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง
จำเลยให้การว่าไม่ได้รุกล้ำที่ดินของโจทก์ที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินตามโฉนดของจำเลยซึ่งซื้อมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๐ และได้ครอบครองโดยสุจริตโดยสงบและเปิดเผยและโดยเจตนาเป็นเจ้าของมากว่า ๑๐ ปีแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาว่าคำให้การของจำเลยมีสองนัยจึงขัดกัน นำสืบไม่ได้
ศาลฎีกาเห็นว่าเขตที่ดินตามโฉนดของโจทก์จำเลยอยู่ติดต่อกัน ขณะจำเลยให้การ ยังไม่สามารถกำหนดได้แน่ชัดว่าที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดของโจทก์หรือของจำเลย แม้แต่เจ้าพนักงานที่ดินออกไปรังวัดทำแผนที่พิพาทก็ยังไม่สามารถหาหลักฐานครอบปูเขตโฉนดของโจทก์และจำเลยได้ ดังนั้นที่จำเลยให้การว่าที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินตามโฉนดของจำเลยหรือหากว่าที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินตามโฉนดของโจทก์ จำเลยก็ได้ครอบครองที่พิพาทโดยปรปักษ์ จำเลยจึงย่อมให้การเช่นนั้นได้เพราะมีเหตุผลในการต่อสู้คดีของจำเลยและไม่มีนัยขัดกัน (ต่างกับฎีกาที่ ๗๒/๒๕๐๕) และฟังว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย
พิพากษายืน.

Share