คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 676/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้โจทก์จะได้ ฟ้องเกี่ยวกับคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า๓ คำขอซึ่ง ได้ ขอจดทะเบียนกับสินค้าต่าง จำพวกกัน คือ คำขอแรกเกี่ยวกับสินค้าจำพวก ๔๗ คำขอที่สองเกี่ยวกับสินค้าจำพวก ๑๒ และคำขอที่สามเกี่ยวกับสินค้าจำพวก ๓๘ โดย มีเฉพาะ คำขอเดียว คือคำขอที่สามเป็นการขอจดทะเบียนกับสินค้าจำพวกเดียวกับที่จำเลยได้ ขอจดทะเบียนไว้ซึ่ง โจทก์ขอให้เพิกถอน แต่ โจทก์ได้ ขอให้ศาลสั่งว่าโจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าพิพาทดีกว่าจำเลยในสินค้าทั้ง ๓ จำพวก และจำเลยฟ้องแย้งเกี่ยวกับเครื่องหมายการค้าอันเดียวกัน การฟ้องแย้งขอให้แสดงสิทธิของจำเลย และขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับสินค้า ๒ จำพวกแรกก็เป็นการฟ้องในส่วนที่เกี่ยวกับเครื่องหมายการค้าพิพาทที่โจทก์จดทะเบียนและฟ้องร้องอ้างสิทธินั่นเอง ฟ้องแย้งของจำเลยจึงเกี่ยวกับฟ้องเดิมอันชอบที่ศาลจะรับไว้พิจารณา
หนังสือมอบอำนาจมีใจความว่า “เพื่อเริ่มการฟ้องคดีและต่อสู้ คดี…ไม่ว่าจะเป็นคดีแพ่งอาญาหรือคดีอื่น ๆ …” เช่นนี้ย่อมหมายความว่า มอบอำนาจให้ฟ้องแย้งได้ ด้วย
จำเลยบรรยายฟ้องแย้งว่า จำเลยได้ ประดิษฐ์เครื่องหมายการค้าพิพาท และได้ ใช้ เครื่องหมายการค้าดังกล่าวกับสินค้าของจำเลยมานาน อีกทั้งได้ จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในต่างประเทศทั่วโลกรวมทั้งในประเทศไทยก็ได้ จดทะเบียนสำหรับสินค้าจำพวก ๓๘โจทก์ไม่สุจริต แสวงหาประโยชน์อันมิชอบ ลอกเลียนเครื่องหมายการค้า ของจำเลยและนำไปยื่นขอจดทะเบียน เป็นการละเมิดขอให้เพิกถอน คำขอจดทะเบียนและเครื่องหมายการค้าของโจทก์ เช่นนี้เป็นคำฟ้อง ที่แสดงแจ้งชัดซึ่ง สภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้าง ที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาครบถ้วนตาม กฎหมายแล้วหาจำต้องบรรยายว่าสินค้าของจำเลยเป็นสินค้าอะไร ประชาชนผู้ใดซื้อ หา จำหน่ายแพร่หลาย ณ ที่ใด มียอด ขายเพียงใด และจำหน่าย โดย ผ่านตัวแทนใด ดังที่โจทก์อ้างในฎีกาไม่ เพราะข้อเหล่านั้นเป็นรายละเอียดที่จะนำสืบในชั้น พิจารณา
โจทก์ได้ จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าพิพาทคืออักษรโรมันประดิษฐ์ “S T” กับสินค้าจำพวกที่ ๔๗ คือ น้ำมันจักร และจดทะเบียน เครื่องหมายการค้าพิพาทกับสินค้าจำพวก ๑๒ คือ มีดซอย ผมทั้งได้ จำหน่ายสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้า ตาม ที่ได้ จดทะเบียนไว้แล้ว ส่วนจำเลยเป็นผู้คิดประดิษฐ์เครื่องหมายการค้าพิพาทและได้ จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าพิพาทในต่างประเทศเฉพาะ กับสินค้าจำพวก ๓๘ เครื่องนุ่งห่มและแต่งกาย มาก่อนโจทก์แต่ มิได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าพิพาท สำหรับสินค้าจำพวก๑๒ และ ๔๗ แต่อย่างใด เช่นนี้ แม้คำฟ้องแย้งของจำเลยกล่าวอ้างว่า โจทก์ได้ ลอกเลียน เครื่องหมายการค้าของจำเลยนำไปจดทะเบียนและนำเครื่องหมายการค้าไปใช้ กับสินค้าของโจทก์ทำให้สาธารณชนหลงผิด ซึ่ง เป็นเรื่องอ้างว่าโจทก์ลวงขายสินค้าของโจทก์ให้ประชาชนเข้าใจว่าเป็นสินค้าของจำเลยอันจำเลยมีอำนาจฟ้องได้แม้เป็นสินค้าคนละจำพวกหรือคนละชนิดก็ตาม แต่ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยส่งสินค้ามาจำหน่ายในประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๒ ก่อนฟ้องคดีเพียง ๔ ปี เท่านั้น ปริมาณก็ไม่มากนักและส่งมาขายแต่เฉพาะ ที่ศูนย์การค้า ส. กับที่ห้าง ซ. และจำเลยไม่เคยมีสินค้าจำพวก ๑๒ และ ๔๗ ส่วนสินค้าของโจทก์ปรากฏว่าโจทก์ใช้ เครื่องหมายการค้ารูปเอส ทีโดย ระบุชื่อร้าน แสงธิต ไว้ชัดเจน แสดงให้เห็นว่าสินค้านั้นเป็นของร้าน แสงธิต เช่นนี้ โจทก์ไม่ได้ทำให้ประชาชนเกิดสับสนในแหล่งกำเนิดหรือคุณภาพสินค้าของโจทก์ถึงขนาด ที่คนทั่วไปเมื่อเห็นสินค้าที่ใช้ เครื่องหมายการค้านั้นแล้ว เข้าใจว่าเป็นของบริษัทเดียวกันคือบริษัทจำเลยคดีจึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้ ลวงขายสินค้าของตน ว่าเป็นสินค้าของจำเลย จำเลยจะขอให้เพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าสินค้าจำพวก ๑๒ และ ๔๗ ของโจทก์หาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าอักษรโรมันปรเดิษฐ์รูป “เอสพี”และได้รับการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า เลขที่ ๘๐๗๗๕ กับสินค้าจำพวก ๔๗ สำหรับสินค้าประเภทน้ำมันจักร เลขที่ ๘๐๙๗๖ กับสินค้าจำพวก ๑๒ สำหรับสินค้าประเภทมีดซอยผม และได้ยื่นคำขอเลขที่ ๑๓๑๘๗๓ ขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าดังกล่าวกับสินค้าจำพวก ๓๘ ทั้งจำพวกเมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๒๖ จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด จดทะเบียน ณ ประเทศอิตาลี จำเลยได้ยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าเหมือนกับของโจทก์ สำหรับสินค้าจำพวก ๓๘ คือ เครื่องนุ่งห่มและแต่งกายเลขที่ ๑๑๑๕๗๙ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๒๖ โจทก์ได้รับหนังสือจากกองสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้า แจ้งว่าเครื่องหมายการค้าที่โจทก์ยื่นคำขอจดทะเบียนเลขที่ ๑๓๑๘๗๗เหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของจำเลย จึงดำเนินการจดทะเบียนให้โจทก์ไม่ได้จนกว่าจะได้ทำความตกลงกันหรือนำคดีไปสู่ศาล โจทก์เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้า “เอสพี” แต่เพียงผู้เดียว และใช้เครื่องหมายดังกล่าวกับสินค้าของโจทก์มาเป็นเวลาหลายปี และได้ทำการโฆษณาจนเป็นที่แพร่หลาย ประชาชนทั่วไปทราบว่าสินค้าภายใต้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวเป็นของโจทก์ การกระทำของจำเลยเป็นการแสวงหาประโยชน์อันมิชอบ เป็นการละเมิดต่อโจทก์ ทำให้ได้รับความเสียหาย ขอให้ศาลพิพากษาว่า โจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าดังกล่าวดีกว่าจำเลย ให้นายทะเบียนเครื่องหมายการค้า กองสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้า ปฏิเสธไม่รับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลย
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า หนังสือมอบอำนาจท้ายฟ้องไม่สมบูรณ์ เครื่องหมายการค้าอักษรโรมันประดิษฐ์ “ST” (เอสพี) จำเลยเป็นผู้คิดประดิษฐ์ขึ้นและใช้เครื่องหมายนี้กับสินค้าของจำเลยมา ๑๐ ปีกว่าแล้ว และได้จดทะเบียนไว้ ณ ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกสำหรับประเทศไทยจำเลยได้ยื่นคำขอจดทะเบียนเมื่อวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๒๓ ในสินค้าจำพวก ๓๘ สำหรับใช้กับเครื่องนุ่งห่มและแต่งกาย ต่อกองสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้า หลังจากนั้นมา ๒-๓ ปี โจทก์ได้ลอกเลียนเครื่องหมายการค้าของจำเลย ลอบนำไปขอจดทะเบียน แม้จำเลยจะยังมิได้ขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้ากับสินค้าจำพวก๑๒ และ ๔๗ แต่จำเลยก็ย่อมมีสิทธิในเครื่องหมายการค้าดังกล่าวดีกว่าโจทก์ การที่โจทก์นำเครื่องหมายการค้าซึ่งเหมือนหรือคล้ายกับของจำเลยไปใช้กับสินค้าโจทก์ อาจทำให้สาธารณชนหลงผิด เป็นการละเมิดและทำให้จำเลยได้รับความเสียหายขอให้ศาลยกฟ้องให้จำเลยมีสิทธิในเครื่องหมายการค้าดังกล่าวดีกว่าโจทก์ ให้โจทก์ถอนเครื่องหมายการค้าตามคำขอเลขที่ ๑๓๑๘๓๒ และเครื่องหมายการค้าทะเบียนเลขที่ ๘๐๙๗๖ และ ๘๐๗๗๕หากโจทก์ไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาเห็นการแสดงเจตนาของโจทก์
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า หนังสือมอบอำนาจท้ายคำให้การของจำเลยไม่ถูกต้องจำเลยไม่ใช่ผู้ประดิษฐ์เครื่องหมายการค้า “เอสที” และไม่เคยใช้เครื่องหมายการค้าพิพาทแม้จำเลยจะจดทะเบียนเครื่องหมายการค้านั้นไว้ ณ ประเทศต่าง ๆ ก็ไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย ฟ้องแย้งของจำเลยไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมจำเลยไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอนเครื่องหมายการค้าเลขทะเบียนที่ ๘๐๙๗๖ และ ๘๐๗๗๕ ฟ้องแย้งของจำเลยเคลือบคลุม เพราะมิได้บรรยายให้ชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหา ขอให้ศาลยกฟ้องแย้งของจำเลย และพิพากษาให้โจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าดีกว่าจำเลย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้นายทะเบียนเครื่องหมายการค้าปฏิเสธไม่รับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าตามคำขอเลขที่ ๑๓๑๘๗๓ ของโจทก์ และให้เพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าเลขที่ ๘๐๙๗๖ และ ๘๐๗๗๕
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอตามฟ้องแย้งของจำเลยที่ให้เพิกถอนเครื่องหมายการค้าททะเบียนเลขที่ ๘๐๙๗๖ และ ๘๐๗๗๕ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สำหรับในประเด็นที่ว่า ฟ้องแย้งของจำเลยเกี่ยวกับฟ้องเดิมอันชอบที่จะรับไว้พิจารณาหรือไม่นั้น เห็นว่าแม้โจทก์จะได้ฟ้องเกี่ยวกับคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ๓ คำขอซึ่งได้ขอจดทะเบียนกับสินค้าต่างจำพวกกัน คือ คำขอแรกเกี่ยวกับสินค้าจำพวก ๔๗ คำขอที่สองเกี่ยวกับสินค้าจำพวก ๑๒ และ คำขอที่สามเกี่ยวกับสินค้าจำพวก ๓๘ โดยมีเฉพาะคำขอเดียว คือ คำขอที่สามเป็นการขอจดทะเบียนกับสินค้าจำพวกเดียวกับที่จำเลยได้ขอจดทะเบียนไว้ซึ่งโจทก์ขอให้เพิกถอนแต่โจทก์ได้ขอให้ศาลสั่งว่าโจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าพิพาทดีกว่าจำเลยในสินค้าทั้ง ๓ จำพวกและจำเลยฟ้องแย้งเกี่ยวกับเครื่องหมายการค้าอันเดียวกัน การฟ้องแย้งขอให้แสดงสิทธิของจำเลยและขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับสินค้า ๒ จำพวกแรกก็เป็นการฟ้องในส่วนที่เกี่ยวกับเครื่องหมายการค้าพิพาทที่โจทก์จดทะเบียนและฟ้องร้องอ้างสิทธินั่นเอง ฟ้องแย้งของจำเลยจึงเกี่ยวกับฟ้องเดิมอันชอบที่ศาลจะรับไว้พิจารณา ส่วนจำเลยจะมีสิทธิเรียกร้องเพียงใดเป็นอีกเรื่องหนึ่งฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
ส่วนในประเด็นที่ว่า หนังสือมอบอำนาจของจำเลยสมบูรณ์มีผลให้ผู้รับมอบอำนาจฟ้องแย้งได้หรือไม่นั้น เห็นว่าข้อความในหนังสือมอบอำนาจมีข้อความว่าจำเลยขอแต่งตั้งให้นายวิรัตน์ กรรฐโรจน์ เป็นทนายของจำเลยดำเนินการเกี่ยวกับเครื่องหมายการค้า และในข้อ ๑ มีใจความว่า “เพื่อเริ่มการฟ้องคดีและต่อสู้คดี ไม่ว่าจะเป็นคดีแพ่งอาญาหรือคดีอื่น ๆ ” เช่นนี้ ย่อมหมายความว่ามอบอำนาจให้ฟ้อง ต่อสู้คดีและฟ้องแย้งได้ด้วย ผู้รับมอบอำนาจจึงฟ้องแย้งได้
ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า ฟ้องแย้งของจำเลยเคลือบคลุมนั้นเห็นว่าจำเลยได้บรรยายในฟ้องแย้งแล้วว่า จำเลยได้ประดิษฐ์เครื่องหมายการค้าพิพาทขึ้นมาและได้ใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวกับสินค้าของจำเลยมานาน อีกทั้งได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในต่างประเทศทั่วโลก รวมทั้งในประเทศไทยก็ได้จดทะเบียน สำหรับสินค้าจำพวก ๓๘โจทก์ไม่สุจริต แสวงหาประโยชน์อันมิชอบ ลอกเลียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยและนำไปยื่นขอจดทะเบียน เป็นการละเมิด ขอให้เพิกถอนคำขอจดทะเบียนและเครื่องหมายการค้าของโจทก์ เช่นนี้เป็นคำฟ้องที่แสดงแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาครบถ้วนตามกฎหมายแล้ว หาจำต้องบรรยายว่าสินค้าของจำเลยเป็นสินค้าอะไร ประชาชนผู้ใดซื้อหา จำหน่ายแพร่หลายณ ที่ใดมียอดขายเพียงใด และจำหน่ายโดยผ่านตัวแทนใดดังที่โจทก์อ้างในฎีกาไม่เพราะข้อเหล่านั้นเป็นรายละเอียดที่จะนำสืบในชั้นพิจารณา
ส่วนในประเด็นที่ว่า โจทก์หรือจำเลยมีสิทธิในเครื่องหมายการค้าพิพาทสำหรับสินค้าจำพวก ๓๘ ดีกว่ากันนั้น โจทก์ฎีกาว่า โจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าพิพาทดีกว่าจำเลย เพราะไม่อาจรับฟังจากเอกสารหมาย ล.๓ ได้ว่า จำเลยได้ส่งสินค้ามาจำหน่ายในประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๒ และจำเลยไม่เคยประกาศโฆษณาเครื่องหมายการค้าพิพาทในประเทศ ส่วนโจทก์มีพยานหลักฐานสนับสนุนว่าได้ใช้เครื่องหมายการค้ามานานแล้ว ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วในข้อที่ว่าศาลจะเชื่อฟังตามเอกสารหมาย ล.๓ ได้เพียงใดนั้น เอกสารหมาย ล.๓ มีจำนวน ๒๒ แผ่น เป็นเอกสารภาษาต่างประเทศ ๘ แผ่น กับคำแปลภาษาไทย ๑๔ แผ่น เป็นใบกำกับสินค้าตอนนำเข้าซึ่งบริษัทจำเลยทำขึ้นเองเป็นการภายใน ระบุรายการสินค้าประเภทเสื้อผ้า มีชื่อบริษัทจำเลยชื่อผู้รับบางรายการอยู่ที่ศูนย์การค้าสอดมาบางรายการเป็นห้างเซ็นทรันดีพาร์ตเมนท์สโตร์ ถนนสีลม และส่วนใหญ่ปรากฏวัน เดือน ปี ว่า “๗๙” ซึ่งได้แก่ พ.ศ. ๒๕๒๕ เอกสารฉบับภาษาต่างประเทศ มีรูปลักษณะและข้อความปราศจากพิสูจน์น่าเชื่อว่าเป็นของจริงแม้จะมิใช่เอกสารของทางราชการ แต่เมื่อประกอบกับข้อเท็จจริงที่โจทก์มิได้โต้แย้งว่าจำเลยได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าไว้ที่ประเทศอิตาลี เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๑ ตามเอกสารหมาย ล.๔ และจดทะเบียนไว้ที่ประเทศญี่ปุ่น ตามเอกสารหมาย ล.๕ ย่อมรับฟังได้ว่าจำเลยได้ส่งสินค้าประเภทเสื้อผ้าเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยตั้งแต่ปี ๒๕๒๒แม้จำเลยจะไม่เคยประกาศโฆษณาเครื่องหมายการค้าพิพาทในประเทศไทย ก็ไม่เป็นเหตุผลเพียงพอที่จะฟังว่าจำเลยไม่เคยส่งสินค้าเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยสำหรับพยานหลักฐานโจทก์ซึ่งได้ลงโฆษณาสินค้าในหนังสือพิมพ์นั้น ปรากฏว่าหนังสือพิมพ์เอกสารหมาย จ.๑๕ เป็นฉบับวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๗ เอกสารหมายจ.๑๖ เป็นฉบับวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๒๖ และเอกสารหมาย จ.๑๗ เป็นฉบับวันที่๒๗ มิถุนายน ๒๕๒๖ เป็นเวลาหลังจากที่จำเลยส่งสินค้ามาจำหน่าย และหลังจากที่โจทก์ได้ยื่นคำขอจดทะเบียนรายพิพาทนี้ทั้งสิ้น จึงหามีน้ำหนักรับฟังว่าโจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้ารายพิพาทดีกว่าจำเลยไม่ ในเรื่องขอจดทะเบียนในประเทศไทยก็ปรากฏว่า โจทก์ได้ยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าสำหรับสินค้าจำพวก ๓๘เมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๒๖ แต่จำเลยได้ยื่นคำขอจดทะเบียนเมื่อวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๒๓เป็นการยื่นขอจดทะเบียนก่อนโจทก์ จำเลยจึงมีสิทธิในเครื่องหมายการค้าพิพาทสำหรับสินค้าจำพวก ๓๘ ดีกว่าโจทก์ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้นายทะเบียนเครื่องหมายการค้าปฏิเสธไม่รับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าตามคำขอเลขที่๑๓๑๘๗๗ ของโจทก์ ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาแล้วฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนปัญหาข้อสุดท้ายตามฎีกาของจำเลยที่ว่า จำเลยมีสิทธิขอให้เพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าเลขที่ ๘๐๙๗๖ และ ๘๐๗๗๕ ของโจทก์หรือไม่นั้นเห็นว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์ได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าพิพาทกับสินค้าจำพวกที่ ๔๗ คือน้ำมันจักร โดยได้รับหนังสือคู่มือการจดทะเบียนเลขที่ ๘๐๗๓๕ และจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าพิพาทกับสินค้าจำพวก ๑๒ คือ มีดซอยผม ตามหนังสือคู่มือการจดทะเบียนเลขที่ ๘๐๙๗๖ ทั้งได้จำหน่ายสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าตามที่ได้จดทะเบียนไว้แล้ว ส่วนจำเลยเป็นผู้คิดประดิษฐ์เครื่องหมายการค้าพิพาท และได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าพิพาทในต่างประเทศเฉพาะกับสินค้าจำพวก ๓๘เครื่องนุ่งห่มและแต่งกายมาก่อนโจทก์ แต่มิได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าพิพาทสำหรับสินค้าจำพวก ๑๒ และ ๔๗ แต่อย่างใด เช่นนี้ เห็นว่า แม้คำฟ้องแย้งของจำเลยกล่าวอ้างว่า โจทก์ได้ลอกเลียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยนำไปจดทะเบียนและนำเครื่องหมายการค้าไปใช้กับสินค้าของโจทก์ทำให้สาธารณชนหลงผิด ซึ่งเป็นเรื่องอ้างว่าโจทก์ลวงขายสินค้าของโจทก์ให้ประชาชนเข้าใจว่าเป็นสินค้าของจำเลยอันจำเลยมีอำนาจฟ้องได้แม้เป็นสินค้าคนละจำพวกหรือคนละชนิดก็ตาม แต่จากทางนำสืบของจำเลย ทั้งพยานบุคคลและเอกชนหมาย ล.๓ ทั้งได้ว่าจำเลยส่งสินค้ามาจำหน่ายในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๒ ก่อนฟ้องคดีเพียง ๔ ปี เท่านั้น ปริมาณก็มิได้มากมายนักและส่งมาขายแต่เฉพาะที่ศูนย์การค้าสยามกับที่ห้างเซ็นทรัลดีพาร์ตเมนท์สโตร์ ถนนสีลมโดยเฉพาะสินค้าจำพวก ๑๒ และ ๔๗ นั้น ปรากฏว่านายวิรัตน์พยานจำเลยเบิกความว่าจำเลยไม่เคยมีสินค้า ๒ จำพวกดังกล่าว ส่วนสินค้าของโจทก์ ปรากฏจากตัวอย่างกล่องน้ำมันจักรพยาน จ.๑๐ สลากถ่านไฟแช็คหมาย จ.๑๑ สมุดกระดาษเปล่าหมายจ.๑๒ และ ซองจดหมายหมาย จ.๑๔ ว่าโจทก์ใช้เครื่องหมายการค้ารูปเอสทีโดยระบุชื่อร้านแสงธิตไว้ชัดเจน แสดงให้เห็นว่าสินค้านั้นเป็นของร้านแสงธิต เช่นนี้ โจทก์ไม่ได้ทำให้ประชาชนเกิดสับสนในแหล่งกำเนิดหรือคุณภาพสินค้าของโจทก์ถึงขนาดที่คนทั่วไปเมื่อเห็นสินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้านั้นแล้วเข้าใจว่าเป็นของบริษัทเดียวกันคือบริษัทจำเลย คดีจึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้ลวงขายสินค้าของตนว่า เป็นสินค้าของจำเลย จำเลยจะขอให้เพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าเลขที่ ๘๐๙๗๖ และ ๘๐๗๗๕ ของโจทก์หาได้ไม่ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share