แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เป็นหลักฐานอย่างหนึ่งซึ่งแสดงว่าขณะยื่น ส.ค.1 นั้นผู้แจ้งอ้างว่าที่ดินเป็นของผู้แจ้งเท่านั้นส่วนความจริงผู้ใดจะมีสิทธิครอบครองนั้น จะต้องพิจารณาจากพยานหลักฐานในสำนวน
จำเลยได้จัดการออก น.ส.3 ในที่พิพาทเป็นชื่อของจำเลยก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐานเบื้องต้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1373 เท่านั้น หากข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า โจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทโจทก์ก็ได้สิทธิครอบครอง ข้อสันนิษฐานตามมาตราดังกล่าวก็ย่อมตกไป
ใบเสร็จเสียเงินบำรุงท้องที่เป็นเพียงหลักฐานแสดงว่าผู้มีชื่อในใบเสร็จเป็นผู้เสียเงินบำรุงท้องที่เท่านั้น มิใช่หลักฐานแสดงว่าผู้มีชื่อในใบเสร็จเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง
ย่อยาว
คดีนี้ โจทก์ฟ้องและเพิ่มเติมฟ้องว่า บิดามารดาโจทก์มีบุตร 4 คนคือโจทก์ นายโต๊ะ นายเตียง และนางหวานจำเลย บิดามารดาโจทก์ตายแล้ว ได้แบ่งทรัพย์เฉพาะที่ดินให้บุตรทุกคน เฉพาะตัวโจทก์ได้ที่ดิน 1 แปลง 14 ไร่ จึงได้ครอบครองที่ดินนี้อย่างเป็นเจ้าของโดยสงบและเปิดเผยต่อกัน 12-13 ปี เมื่อ 3-4 ปีมานี้ โจทก์ได้ไปจับจองที่ดินทำไร่ที่เขตจังหวัดนครราชสีมา ส่วนที่ดินดังกล่าวได้ให้นายเตียงน้องชายเช่าทำทุกปี โจทก์เพิ่งทราบว่าเมื่อบิดา(นายคำภา) ตายแล้ว จำเลยได้บังอาจนำความเท็จไปแจ้งต่ออำเภอโคกสำโรงขอรับมรดกบิดา เจ้าพนักงานหลงเชื่อจึงจัดการโอนให้เป็นของจำเลย จึงขอให้พิพากษาว่าการโอนรับมรดกเกี่ยวกับที่ดินพิพาทเป็นโมฆะ ให้ที่ดินกลับเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง
จำเลยให้การว่า นาที่พิพาทเป็นนาไม่มีโฉนด เนื้อที่ 14 ไร่เศษนายคำภา (บิดา) ไม่เคยยกให้โจทก์ ทั้งโจทก์ก็ไม่เคยเข้าครอบครองจำเลยเป็นบุตรคนเล็กเป็นผู้ทำเลี้ยงบิดาตลอดมา จำเลยได้ใช้หนี้นางลุ่มแทนบิดา บิดาจึงยกที่พิพาทให้จำเลย และตัดฟ้องว่าเป็นฟ้องที่เคลือบคลุม
โจทก์จำเลยตกลงกันในประเด็นเดียวว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือมิใช่ ส่วนประเด็นอื่นขอสละ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า นายคำภาบิดาของโจทก์ได้ยกนาพิพาทให้โจทก์เมื่อ 10 ปีเศษมาแล้ว และโจทก์เป็นฝ่ายครอบครองนาพิพาทตลอดมา จึงได้สิทธิครอบครอง พิพากษาว่านาที่พิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามมิให้จำเลยเข้าเกี่ยวข้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับศาลชั้นต้น พิพากษายืน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่านาที่พิพาทเป็นที่ดินที่ยังไม่มีหนังสือสำคัญ โจทก์จะอ้างว่าโจทก์ครอบครองมาจนได้กรรมสิทธิ์ไม่ได้ ถ้าโจทก์ครอบครองมาจริงโจทก์ก็มีแต่สิทธิครอบครองเท่านั้น เมื่อที่พิพาทยังมีชื่อนายคำภา(บิดา) เป็นเจ้าของในแบบแจ้งการครอบครอง (ส.ค.) ก็ต้องสันนิษฐานว่าที่พิพาทเป็นของนายคำภาไม่ใช่ของโจทก์ ศาลฎีกาเห็นว่าถึงแม้โจทก์จะฟ้องกล่าวอ้างว่าโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ก็วินิจฉัยเพียงว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองเท่านั้นแบบแจ้งการครอบครอง ส.ค.1 เป็นเพียงหลักฐานอย่างหนึ่งเพื่อแสดงว่าในขณะยื่นแบบ ส.ค.1 นั้น นายคำภาอ้างว่าที่พิพาทเป็นของนายคำภาเท่านั้น ส่วนความจริงผู้ใดจะเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่พิพาทนั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่งซึ่งจะต้องพิจารณาจากพยานหลักฐานในสำนวน คดีนี้ฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติแล้วว่า นายคำภาได้ยกที่พิพาทให้โจทก์เมื่อ 10 ปีเศษมาแล้ว และโจทก์เป็นฝ่ายครอบครองที่พิพาทตลอดมา โจทก์จึงเป็นฝ่ายได้สิทธิครอบครองในที่พิพาท
จำเลยฎีกาข้อหนึ่งว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ดิน จำเลยได้จัดการออก น.ส.3 เป็นชื่อของจำเลย และในใบเสร็จเสียเงินบำรุงท้องที่ ก็เป็นชื่อจำเลย ทั้งจำเลยยังมีพยานนำสืบว่าจำเลยเป็นฝ่ายครอบครองที่พิพาท จำเลยจึงได้สิทธิครอบครองในที่พิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367, 1369 และ 1373 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าที่จำเลยมีพยานหลักฐานนำสืบว่าจำเลยเป็นฝ่ายครอบครองที่พิพาทนั้น เป็นฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงข้อที่จำเลยอ้างว่าจำเลยได้จัดการออก น.ส.3 เป็นชื่อของจำเลยต้องสันนิษฐานว่าจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1373 เป็นเพียงข้อสันนิษฐานเบื้องต้น เมื่อข้อเท็จจริงเป็นยุติว่าโจทก์ได้ครอบครองที่พิพาท โจทก์ก็ได้สิทธิครอบครองแล้ว ข้อสันนิษฐานดังกล่าวก็ตกไป
ส่วนข้อที่จำเลยอ้างว่าจำเลยเป็นผู้มีชื่อในใบเสร็จเสียเงินบำรุงท้องที่ ต้องสันนิษฐานว่าเป็นฝ่ายครอบครองที่พิพาทนั้นศาลฎีกาเห็นว่าใบเสร็จเสียเงินบำรุงท้องที่เป็นเพียงหลักฐานแสดงว่าผู้มีชื่อในใบเสร็จเป็นผู้เสียเงินบำรุงท้องที่เท่านั้นมิใช่หลักฐานแสดงว่าผู้มีชื่อในใบเสร็จเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินนั้น
พิพากษายืน