คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 673/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บริษัทจำเลยยอมให้โจทก์ยืมชื่อไปทำการประมูลเมื่อโจทก์ประมูลได้ บริษัทจำเลยยังถือว่าโจทก์เป็นเจ้าของงานอยู่ทั้งในการให้โจทก์เอาชื่อบริษัทจำเลยไปประมูลบริษัทจำเลยคิดเอาผลประโยชน์จากโจทก์ ดังนั้นการที่บริษัทจำเลยทำสัญญารับเหมากับการรถไฟจึงเป็นการออกหน้าเป็นตัวการ ทำสัญญาแทนโจทก์โดยแสดงตนต่อการรถไฟว่าบริษัทจำเลยเป็นคู่สัญญา แท้จริงแล้วเป็นเพียงทำสัญญาแทนโจทก์เท่านั้นเมื่อบริษัทจำเลยเป็นเพียงตัวแทนโจทก์ จึงไม่มีสิทธิเอางานนี้ซึ่งเป็นของโจทก์มาทำสัญญาเป็นผู้จ้างให้โจทก์ผู้เป็นตัวการกลับกลายเป็นผู้รับจ้างแม้โจทก์ลงนามในสัญญารับเหมาช่วง ก็หามีผลทำให้โจทก์กลับกลายเป็นผู้รับจ้างไปไม่บริษัทจำเลยยังคงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติต่อโจทก์ในฐานเป็นตัวแทนของโจทก์เมื่อโจทก์ทำงานเสร็จ การรถไฟรับมอบงานและจ่ายเงินให้บริษัทจำเลยรับมาจำเลยจึงมีหน้าที่ส่งเงินนั้นให้แก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 810 การที่บริษัทจำเลยรับเงินที่โจทก์ทำงานเสร็จจากการรถไฟถือว่ารับมาแทนโจทก์บริษัทจำเลยไม่ส่งมอบเงินนั้นให้โจทก์ โจทก์ไม่สามารถทำงานงวดต่อไปได้เป็นเหตุให้บริษัทจำเลยถูกการรถไฟปรับจึงเกิดจากความผิดของบริษัทจำเลยเอง บริษัทจำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ในจำนวนเงินที่ถูกปรับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 812เมื่อบริษัทจำเลยเสียค่าปรับให้การรถไฟไปแล้วจึงเรียกคืนจากโจทก์ไม่ได้
โจทก์ซึ่งเป็นตัวการและบริษัทจำเลยซึ่งเป็นตัวแทนตกลงกันว่าโจทก์ทำงานงวดใดเสร็จ ก็ให้บริษัทจำเลยส่งมอบงานนั้นแก่การรถไฟผู้ว่าจ้าง เพื่อขอรับเงินตามสัญญา แต่ตามสัญญากำหนดการจ่ายเงินไว้เป็นงวดๆ เมื่อทำเสร็จและการรถไฟรับมอบงานแล้ว การคิดผลประโยชน์ให้บริษัทจำเลยจึงคิดให้เมื่อโจทก์รับเงินมาแต่ละงวดหาได้คิดให้ในคราวเดียวกัน จำนวนรวมกัน 5% ของเงินที่ประมูลไม่ดังนั้น เมื่อโจทก์ทำงานเสร็จงวดที่ 1 ได้รับเงินมาเพียงงวดเดียวก็ต้องเลิกทำ เพราะบริษัทจำเลยเป็นต้นเหตุ ไม่มอบเงินให้บริษัทจำเลยจึงเรียกเอาได้เฉพาะ 5% ของเงินงวดที่ 1 ที่ได้รับมาแล้ว จะเรียกเอา5% ของเงินที่ยังไม่ได้รับมาจากการรถไฟหาได้ไม่
หนี้เงินซึ่งอีกฝ่ายหนึ่งยังมีข้อต่อสู้อยู่ จะหักกันไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จะประมูลรับเหมาก่อสร้างบ้านพักพนักงานรถไฟที่สถานีทุ่งสงต่อการรถไฟแห่งประเทศไทย โจทก์จึงติดต่อตกลงกับนายนิยม อภิสุนันท์กรรมการอำนวยการของบริษัทจำเลย ขอยืมชื่อบริษัทจำเลยเพื่อใช้ในการประมูลนายนิยมยินยอมเรียกเอาผลประโยชน์จากโจทก์ 5% ของราคาที่โจทก์ประมูลได้ โจทก์ในนามของบริษัทจำเลยเป็นผู้ประมูลได้ในราคารวมทั้งสิ้น 148,500 บาท โจทก์ได้ทำการก่อสร้างบ้านพักดังกล่าวจนเสร็จงานงวดที่ 1 โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยทราบเพื่อให้จำเลยไปรับเงินมาให้โจทก์ จำเลยได้ไปรับเงินค่าก่อสร้างของงานงวดที่ 1 จากการรถไฟเป็นเงิน29,700 บาท การรถไฟแห่งประเทศไทยได้หักไว้ 10% จำเลยจึงได้รับมา 26,700 บาท

โจทก์ได้ไปขอรับเงินจากจำเลย ให้จำเลยหักส่วนของจำเลย 5%ตามที่ตกลงกันไว้เป็นเงิน 1,336.50 บาท คงเหลือเงิน 25,393.50 บาทจำเลยไม่ยอมจ่ายให้ ขอให้ศาลบังคับจำเลยส่งมอบเงินจำนวน 25,393.50บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ย

จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ได้ทำสัญญารับเหมาช่วงไปจากจำเลย โจทก์จะเอานายปรุง คำประสาท มาเป็นผู้ค้ำประกันสัญญาด้วยแต่หาได้นำมาไม่ โจทก์ไม่สามารถจะทำงานให้แล้วเสร็จตามกำหนดในสัญญาซึ่งจะต้องทำให้จำเลยผิดสัญญากับการรถไฟแห่งประเทศไทย และถูกการรถไฟปรับ โจทก์ได้ทิ้งงานเป็นเหตุให้การรถไฟบอกเลิกสัญญาก่อสร้างและเรียกค่าปรับเอาจากจำเลยเป็นเงิน 54,000 บาท ซึ่งจำเลยมีสิทธิยึดหน่วงเงินที่โจทก์ฟ้องไว้เพื่อชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยได้

จำเลยถูกการรถไฟปรับ 54,000 บาท ถูกการรถไฟริบเงินมัดจำที่วางไว้4,455 บาท ถ้าโจทก์ทำถูกต้องตามสัญญา เงินที่จำเลยควรได้จากโจทก์ตามสัญญาอีกร้อยละ 5 ของค่าจ้าง เป็นเงิน 7,425 บาท และรวมทั้งจำเลยได้ใช้หนี้ให้แทนโจทก์ไปแล้ว 10,000 บาทด้วย ซึ่งรวมเป็น 66,880 บาท (ที่ถูกควรเป็น 75,880 บาท) เมื่อหักเงินงวดที่ 1 ที่จำเลยได้รับมาหมดแล้วจึงคงเหลือ 40,150 บาท (ที่ถูกควรเป็น49,150 บาท) ซึ่งโจทก์ต้องรับผิดใช้ให้จำเลยจำเลยจึงขอให้ศาลบังคับให้โจทก์ชำระให้จำเลยพร้อมด้วยดอกเบี้ย

โจทก์ให้การปฏิเสธฟ้องแย้งของจำเลยว่าไม่เป็นความจริง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินที่จำเลยรับมาจากการรถไฟฯในเมื่อหักดังต่อไปนี้แล้ว คือ การรถไฟหักไว้ 10% ส่วนได้ของจำเลย5% ค่าภาษีของจำเลย 939.50 บาท เงินค่าประกันที่จำเลยออกทดรองไป4,455 บาท คงเหลือเงินซึ่งจำเลยต้องจ่ายให้โจทก์ 19,850.50 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ในการประมูลรับเหมาก่อสร้าง บริษัทจำเลยเพียงแต่ยอมให้โจทก์ยืมชื่อไปทำการประมูล เมื่อโจทก์ประมูลได้บริษัทจำเลยก็ยังถือว่าโจทก์เป็นเจ้าของงานอยู่ ทั้งในการให้โจทก์เอาชื่อบริษัทไปประมูล บริษัทจำเลยได้คิดเอาผลประโยชน์จากโจทก์ดังนั้น การที่บริษัทจำเลยทำสัญญารับเหมาหมาย ล.4 กับการรถไฟจึงเป็นการออกหน้าเป็นตัวการทำสัญญาแทนโจทก์ โดยแสดงตนต่อการรถไฟว่าบริษัทจำเลยเป็นคู่สัญญาแท้จริงแล้วเป็นเพียงทำสัญญาแทนโจทก์เท่านั้น เมื่อบริษัทจำเลยเป็นเพียงตัวแทนโจทก์ จึงไม่มีสิทธิเอาเงินนี้ซึ่งเป็นของโจทก์มาทำสัญญาเป็นผู้จ้างให้โจทก์ผู้เป็นตัวการกลับกลายเป็นผู้รับจ้าง ฉะนั้น แม้โจทก์ได้ลงนามในสัญญารับเหมาช่วงหมาย ล.3 ก็หามีผลทำให้โจทก์กลับกลายเป็นผู้รับจ้างไปไม่บริษัทจำเลยยังคงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติต่อโจทก์ในฐานเป็นตัวแทนของโจทก์ เมื่อโจทก์ทำงานเสร็จ การรถไฟได้รับมอบงานและได้จ่ายเงินให้บริษัทจำเลยรับมา จำเลยมีหน้าที่ต้องส่งมอบเงินนั้นให้แก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 810 การที่บริษัทจำเลยรับเงินที่โจทก์ทำงานงวดที่ 1 เสร็จมาจากการรถไฟ ถือว่ารับมาแทนโจทก์บริษัทจำเลยไม่ส่งมอบเงินนั้นให้โจทก์ โจทก์ไม่สามารถทำงานงวดต่อไปได้ เป็นเหตุให้บริษัทจำเลยถูกการรถไฟปรับ จึงเกิดจากความผิดของบริษัทจำเลยเอง ดังนั้น บริษัทจำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ในจำนวนเงินที่ถูกปรับนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 812 เมื่อบริษัทจำเลยเสียค่าปรับให้การรถไฟไปแล้วจึงเรียกคืนจากโจทก์ไม่ได้

ส่วนตามที่โจทก์และบริษัทจำเลยตกลงกันว่า โจทก์ทำงานงวดใดเสร็จก็ให้บริษัทจำเลยส่งมอบงานนั้นแก่การรถไฟ เพื่อขอรับเงินตามสัญญาหมาย ล.4 สัญญาหมาย ล.4 กำหนดการจ่ายเงินไว้เป็นงวด ๆ เมื่อทำเสร็จและการรถไฟรับมอบงานแล้ว การคิดผลประโยชน์ให้บริษัทจำเลยจึงคิดให้เมื่อโจทก์ได้รับเงินมาแต่ละงวด หาได้คิดให้ในคราวเดียวเป็นจำนวนรวมกัน 5% ของเงินที่ประมูลไม่ ดังนั้น เมื่อโจทก์ทำงานก่อสร้างเสร็จไปงวดที่ 1 ได้รับเงินมาเพียงงวดเดียวก็ต้องเลิกทำ เพราะบริษัทจำเลยเป็นต้นเหตุไม่มอบเงินให้ ศาลฎีกาเห็นว่าบริษัทจำเลยเรียกเอาได้เฉพาะ 5% ของเงินงวดที่ 1 ที่ได้รับมาแล้ว จะเรียกเอา 5% ของเงินที่ยังไม่ได้รับมาจากการรถไฟหาได้ไม่

ส่วนที่จำเลยขอให้หักหนี้เงิน 10,000 บาท ที่บริษัทจำเลยได้ชำระแทนโจทก์ไปตามเอกสารหมาย ล.7 นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์ยังมีข้อต่อสู้อยู่ จึงหักกันไม่ได้

พิพากษายืน

Share