แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นพนักงานขับรถขององค์การผู้เสียหาย จำเลยได้รับใบรับ-จ่ายน้ำมันมาแล้วได้มอบให้ ว. ไปเบิกน้ำมันจากสหกรณ์ของผู้เสียหายเติมใส่รถยนต์ส่วนตัวของ ว.ทั้ง ๆ ที่จำเลยได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้นำใบรับ-จ่ายน้ำมันไปเบิกน้ำมันใส่รถของผู้เสียหาย ย่อมเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต จึงมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 11 แต่ไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 และพระราชบัญญัติดังกล่าวมาตรา 4 เพราะจำเลยไม่ได้เป็นเจ้าพนักงานตามความหมายในมาตรา 147 และยังถือไม่ได้ว่าจำเลยเป็นพนักงานที่มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 4 ความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 11ที่จำเลยกระทำไม่ใช่ความผิดตามที่ระบุไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43 พนักงานอัยการจึงไม่มีอำนาจขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่ผู้เสียหาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยซึ่งมีตำแหน่งเป็นลูกจ้างประจำและเป็นพนักงานองค์การสวนยางผู้เสียหาย ทำหน้าที่ในตำแหน่งพนักงานขับรถฝ่ายโรงงาน 1 มีหน้าที่ดูแลรักษาน้ำมันรถที่เบิกมาเพื่อเติมรถที่จำเลยดูแลรับผิดชอบ จำเลยรับใบจ่ายน้ำมันดีโซลีน40 ลิตร ราคา 340 บาท จากผู้เสียหายเพื่อเติมรถไถของผู้เสียหายแล้วนำไปใช้ในขอบวัตถุประสงค์ของผู้เสียหาย แต่จำเลยนำใบรับจ่ายน้ำมันดังกล่าวมอบให้นายวีระ ทองขาว จำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 79/2536 ของศาลชั้นต้น เติมใส่รถยนต์ส่วนตัวของนายวีระอันเป็นการเบียดบังทรัพย์ของผู้เสียหายโดยทุจริตและเป็นพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย หรือปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 4, 11ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์เป็นเงิน 340 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 4, 11 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 ให้ลงโทษบทหนัก (ที่สุด) แต่ปรากฏว่าบทกฎหมายดังกล่าวมีอัตราโทษเท่ากัน จึงให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ มาตรา 4 จำคุก 5 ปีให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์เป็นเงิน 340 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้น อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่ยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ฟังได้ว่า ขณะเกิดเหตุคดีนี้จำเลยเป็นพนักงานขับรถขององค์การสวนยางซึ่งเป็นหน่วยงานที่สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2535 จำเลยได้รับใบรับ-จ่ายน้ำมันเอกสารหมาย จ.1 มาแล้วได้มอบให้นายวีระ ทองขาว ไปเบิกน้ำมันจากสหกรณ์ของผู้เสียหายเติมรถยนต์ของนายวีระ มีปัญหาวินิจฉัยตามที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยกระทำผิดตามโจทก์ฟ้องหรือไม่ จำเลยนำสืบว่า ในวันที่ 4 มกราคม 2535 จำเลยจะพาบุตรซึ่งป่วยไปโรงพยาบาลและได้ไปบอกนายวิรัต เนียมเล็ก เพื่อขอรถของผู้เสียหาย แต่รถของผู้เสียหายไม่มีเนื่องจากมีผู้นำไปปฏิบัติงานหมด นายวิรัตอนุญาตให้จำเลยหาบุคคลอื่นไปส่งบุตรก่อน และจะเติมน้ำมันให้ภายหลัง จำเลยไปขอร้องให้นายวีระขับรถยนต์ไปส่งบุตร รุ่งขึ้นนายวิรัตเขียนใบรับ-จ่ายน้ำมันเอกสารหมาย จ.1 ให้จำเลย และจำเลยได้มอบให้นายวีระไปเบิกน้ำมันจากสหกรณ์ของผู้เสียหาย ข้อนำสืบของจำเลยดังกล่าวเป็นการเบิกความลอย ๆ โดยไม่มีพยานหลักฐานอะไรสนับสนุนซึ่งถ้าบุตรของจำเลยป่วยและได้นำตัวไปให้แพทย์ตรวจที่โรงพยาบาลจริง จำเลยก็น่าจะมีหลักฐานการนำบุตรเข้าตรวจรักษาจากโรงพยาบาลและหลักฐานการตรวจรักษาจากแพทย์มาเสนอต่อศาลได้ปรากฏตามใบรับ-จ่ายน้ำมันเอกสารหมาย จ.1 มีข้อความระบุว่าเป็นรถหมายเลข เอ็มเอฟ 4 บรรทุกไม้ไผ่ที่บ้านหนองปรือและเมล็ดกาแฟ ซึ่งถ้าข้อเท็จจริงเป็นดังที่จำเลยอ้างก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องเขียนข้อความดังกล่าวไว้ในใบรับ-จ่ายน้ำมันเอกสารหมาย จ.1 ยังได้ความจากนายประวิทย์บริบูรณ์ และนายวิรัตว่า นายประสิทธิ์เป็นผู้เขียนข้อความในเอกสารดังกล่าว ที่จำเลยอ้างว่านายวิรัตเป็นผู้เขียนก็เพิ่งกล่าวอ้างเมื่อจำเลยเบิกความเป็นพยาน โดยมิได้ถามค้านนายประวิทย์และนายวิรัตในเรื่องนี้แต่อย่างใด นอกจากนี้ยังปรากฏว่าจำเลยเพิ่งจะยกข้ออ้างดังกล่าวขึ้นมาในชั้นศาลแต่ในชั้นสอบสวนจำเลยไม่ได้กล่าวถึงเรื่องนี้เลย การนำสืบของจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักพอที่จะรับฟังได้ เชื่อได้ว่าข้อเท็จจริงเป็นดังที่โจทก์นำสืบ การที่จำเลยได้รับใบรับ-จ่ายน้ำมันเอกสารหมาย จ.1 แล้วมอบให้นายวีระไปเบิกน้ำมันใส่รถยนต์ส่วนตัวของนายวีระทั้ง ๆ ที่จำเลยได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้นำใบรับ-จ่ายน้ำมันดังกล่าวไปเบิกน้ำมันใส่รถของผู้เสียหายเพื่อใช้ในการปฏิบัติงานในกิจการของผู้เสียหาย ย่อมเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต จึงมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 11 แต่หามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 และพระราชบัญญัติดังกล่าว มาตรา 4 ไม่ เพราะจำเลยไม่ได้เป็นเจ้าพนักงานตามความหมายในมาตรา 147 และจำเลยเป็นพนักงานขับรถยนต์เพียงแต่มอบใบรับ-จ่ายน้ำมันที่จำเลยได้รับมาให้นายวีระไปเบิกน้ำมันใช้เป็นส่วนตัว ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยเป็นพนักงานที่มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้องโจทก์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน
อนึ่ง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์เป็นเงิน 340 บาท แก่ผู้เสียหายนั้น เมื่อฟังว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 11 เท่านั้น โจทก์ก็ไม่มีอำนาจขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่ผู้เสียหาย เพราะไม่ใช่เป็นความผิดตามที่ระบุไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 43 ในเรื่องนี้แม้จำเลยไม่ได้ฎีกา แต่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 และตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502มาตรา 4 ให้ลงโทษจำคุกจำเลย 1 ปี โดยให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 กับให้ยกคำขอที่ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่ผู้เสียหาย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3