แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
คดีก่อน ศ. พี่สาวโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 กรณีจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดเป็นเหตุให้ ม. บิดาโจทก์ และ ศ. ถึงแก่ความตาย ขอให้ชดใช้ค่าปลงศพ ค่าขาดไร้อุปการะและค่าเสียหายของรถจักรยานยนต์ซึ่งเป็นการฟ้องในฐานะที่ ศ. เป็นบุตรผู้ตายที่ได้รับความเสียหายจากการกระทำละเมิดเช่นนี้ สำหรับค่าปลงศพและค่าเสียหายของรถจักรยานยนต์ เป็นการฟ้องเพื่อประโยชน์ของทายาท ม. ผู้ตาย ทุกคนรวมถึงโจทก์ด้วย ส่วนค่าขาดไร้อุปการะเป็นสิทธิเฉพาะตัวของทายาทแต่ละคนที่ได้รับความเสียหาย และตามคำฟ้องคดีก่อน ศ. ไม่ได้ฟ้องแทนโจทก์ แม้ต่อศาลชั้นต้นจะพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าขาดไร้อุปการะของโจทก์แก่ ศ. ก็เป็นการพิพากษาโดยไม่ชอบไม่ผูกพันโจทก์ซึ่งมิใช่เป็นคู่ความในคดีดังกล่าว เมื่อขณะโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 คดีนี้เรียกค่าเสียหายจากการที่จำเลยที่ 1 กระทำละเมิดเป็นเหตุให้ ม. บิดาโจทก์ถึงแก่ความตาย ขอให้ชดใช้ค่าปลงศพ ค่าเสียหายของรถจักรยานยนต์ อันเป็นเรื่องเดียวกันกับคดีก่อนที่ ศ. ฟ้องจำเลยที่ 1 และคดีอยู่ระหว่างการพิจารณา คดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ในเรื่องเรียกค่าปลงศพและค่าเสียหายของรถจักรยานยนต์จึงเป็นฟ้องซ้อนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 173 วรรคสอง (1) และได้ความว่าต่อมาศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาในคดีก่อนให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าปลงศพและค่าเสียหายของรถจักรยานยนต์แก่ ศ. อันเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นเรื่องค่าปลงศพและค่าเสียหายของรถจักรยานยนต์เรื่องเดียวกับคดีนี้แล้ว ฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ในประเด็นดังกล่าวจึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำมาตรา 144 โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ได้เฉพาะค่าขาดไร้อุปการะเท่านั้น
ส่วนฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้รับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ในฐานจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของรถยินยอมให้จำเลยที่ 1 ใช้รถในกิจการของจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์ที่จำเลยที่ 1 ขับ ศาลชั้นต้นยังไม่ได้มีคำวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดค่าปลงศพ ค่าขาดไร้อุปการะและค่าเสียหายของรถจักรยานยนต์ของผู้ตายหรือไม่ ทั้งจำเลยที่ 2 และที่ 3 ก็ไม่ได้เป็นคู่ความเดียวกันกับคดีก่อนที่ ศ. ฟ้องจำเลยที่ 1 คดีโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตามมาตรา 144
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสองฟ้องโดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาว่า โจทก์ทั้งสองเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายหมัดลี และลง ผู้ตาย กับนางสมใจ ปิ่นสุวรรณ เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2540 เวลา 15.40 นาฬิกา จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน 5 ฮ-4133 กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของและยินยอมให้จำเลยที่ 1 ใช้รถในกิจการของจำเลยที่ 2 มาตามถนนด้วยความเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด และด้วยความประมาทเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนกับรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน กรุงเทพมหานคร 9 ต-5836 ที่นายหมัดลี และลง บิดาของโจทก์ทั้งสองขับขี่สวนทางมา เป็นเหตุให้นายหมัดลีถึงแก่ความตาย รถยนต์คันเกิดเหตุจำเลยที่ 2 ได้เอาประกันภัยไว้กับจำเลยที่ 3 การกระทำของจำเลยทั้งสามทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย เสียค่าปลงศพ และค่าขาดไร้อุปการะ และค่าเสียหายของรถจักรยานยนต์ รวมเป็นเงิน 200,000 บาท และคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันทำละเมิดถึงวันฟ้องเป็นเวลา 2 ปี คิดเป็นดอกเบี้ย 30,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ทั้งสอง เป็นเงินจำนวน 230,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 200,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสามให้การทำนองเดียวกันว่า เหตุละเมิดเกิดจากความประมาทของนายหมัดลี และลง เพียงฝ่ายเดียว ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โดยโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องถึงความสัมพันธ์ระหว่างจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 จำเลยที่ 2 ไม่ได้ทำประกันภัยไว้กับจำเลยที่ 3 คดีของโจทก์ขาดอายุความ ค่าขาดไร้อุปการะและค่าเสียหายที่โจทก์เรียกมานั้นสูงเกินความเป็นจริง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติโดยคู่ความไม่โต้แย้งว่า โจทก์ทั้งสองเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายหมัดลี และลง กับนางสมใจ ปิ่นสุวรรณ เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2540 เวลา 15.40 นาฬิกา นายหมัดลีได้ขับรถจักรยานยนต์ หมายเลขทะเบียน กรุงเทพมหานคร 9 ต-5836 มาตามถนนในหมู่บ้านเพอร์เฟค โครงการ 4 แขวงมีนบุรี เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร ได้ถูกรถยนต์ หมายเลขทะเบียน 5 ฮ-4133 กรุงเทพมหานคร ซึ่งจำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับสวนทางมาพุ่งเฉี่ยวชนเป็นเหตุให้นายหมัดลีถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของรถยนต์คันที่จำเลยที่ 1 ขับและได้ทำประกันภัยไว้กับจำเลยที่ 3 พนักงานสอบสวนแจ้งขอหาจำเลยที่ 1 ว่า ขับรถประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และพนักงานอัยการมีความเห็นสั่งฟ้องจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 1 หลบหนีไป และถูกออกหมายจับไว้ ต่อมานางสาวศิริจันทร์ และลง ซึ่งเป็นพี่สาวโจทก์ทั้งสองได้ฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีอาญาและเรียกค่าเสียหาย ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา แต่จำเลยที่ 1 หลบหนีจึงออกหมายจับและมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีส่วนอาญาไว้ชั่วคราวแล้วพิพากษาคดีแพ่งไปฝ่ายเดียวโดยให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่นางสาวศิริจันทร์ และลง จำนวน 120,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 30 พฤศจิกายน 2540 จนกว่าจะชำระเสร็จตามคดีหมายเลขแดงที่ 5792/2542 ของศาลชั้นต้น เอกสารหมาย จ.10
พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ทั้งสองว่าฟ้องโจทก์ทั้งสองเป็นฟ้องซ้อนหรือการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ 5792/2542 ของศาลชั้นต้นหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความจากทางนำสืบของโจทก์ทั้งสองว่าคดีก่อนนางสาวศิริจันทร์ และลง พี่สาวโจทก์ทั้งสองได้ฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา กรณีจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดเป็นเหตุให้นายหมัดลี และลง บิดาโจทก์ทั้งสองและนางสาวศิริจันทร์ถึงแก่ความตาย ขอให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นค่าปลงศพ ค่าขาดไร้อุปการะและค่าเสียหายของรถจักรยานยนต์ ตามสำเนาคำฟ้องเอกสารหมาย จ.2 ซึ่งปรากฏว่านางสาวศิริจันทร์ฟ้องในฐานเป็นบุตรผู้ตายที่ได้รับความเสียหายจากการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 เช่นนี้ สำหรับค่าปลงศพและค่าเสียหายของรถจักรยานยนต์ จึงเป็นการฟ้องเพื่อประโยชน์ของทายาทนายหมัดลีผู้ตายทุกคน รวมถึงโจทก์ทั้งสองด้วย ส่วนค่าขาดไร้อุปการะเป็นสิทธิเฉพาะตัวของทายาทแต่ละคนที่ได้รับความเสียหาย และตามคำฟ้องคดีก่อนไม่ปรากฏข้อความว่านางสาวศิริจันทร์ฟ้องแทนโจทก์ทั้งสอง แม้ต่อมาศาลชั้นต้นจะพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าขาดไร้อุปการะของโจทก์ทั้งสองแก่นางสาวศิริจันทร์ก็เป็นการพิพากษาโดยไม่ชอบไม่ผูกพันโจทก์ทั้งสองซึ่งมิใช่เป็นคู่ความในคดีดังกล่าว เมื่อได้ความจากคำฟ้องของโจทก์ทั้งสองว่า ขณะโจทก์ทั้งสองฟ้องจำเลยที่ 1 คดีนี้เรียกค่าเสียหายจากการที่จำเลยที่ 1 กระทำละเมิดเป็นเหตุให้นายหมัดลีบิดาโจทก์ทั้งสองถึงแก่ความตาย ขอให้ชดใช้ค่าปลงศพค่าเสียหายของรถจักรยานยนต์ อันเป็นเรื่องเดียวกันกับคดีก่อนที่นางสาวศิริจันทร์ฟ้องจำเลยที่ 1 และคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาคดีระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลยที่ 1 ในเรื่องเรียกค่าปลงศพและค่าเสียหายของรถจักรยานยนต์เป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1) และได้ความว่าต่อมาศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาในคดีก่อนให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าปลงศพและค่าเสียหายของรถจักรยานยนต์แก่นางสาวศิริจันทร์ตามฟ้องแล้วตามเอกสารหมาย จ.10 อันเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นเรื่องค่าปลงศพและค่าเสียหายของรถจักรยานยนต์เรื่องเดียวกับคดีนี้แล้ว ฟ้องของโจทก์ทั้งสองเกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ในประเด็นดังกล่าวจึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 โจทก์ทั้งสองฟ้องจำเลยที่ 1 ได้เฉพาะค่าขาดไร้อุปการะเท่านั้น ส่วนฟ้องโจทก์ทั้งสองเกี่ยวกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้รับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ในฐานจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของรถยินยอมให้จำเลยที่ 1 ใช้รถในกิจการของจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์ที่จำเลยที่ 1 ขับนั้น ศาลชั้นต้นยังไม่ได้มีคำวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดค่าปลงศพ ค่าขาดไร้อุปการะและค่าเสียหายของรถจักรยานยนต์ของผู้ตายหรือไม่เพียงใด ทั้งจำเลยที่ 2 และที่ 3 ก็ไม่ได้เป็นคู่ความเดียวกันกับคดีก่อนที่นางสาวศิริจันทร์ฟ้องจำเลยที่ 1 ดังนี้ คดีโจทก์ทั้งสองเกี่ยวกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์โจทก์ทั้งสองฟังขึ้นบางส่วน แต่เนื่องจากศาลชั้นต้นวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทมาไม่ครบโดยยังไม่ได้วินิจฉัยประเด็นเรื่องค่าเสียหายว่าจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดค่าขาดไร้อุปการะแก่โจทก์ทั้งสองหรือไม่ เพียงใด และจำเลยที่ 2 และที่ 3 ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ทั้งสองหรือไม่เพียงใดด้วย ศาลฎีกาเห็นควรให้การวินิจฉัยเป็นไปตามลำดับชั้นศาล จึงให้ย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาในประเด็นที่ยังมิได้วินิจฉัยใหม่”
พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาในประเด็นที่ว่าจำเลยทั้งสามต้องร่วมกันรับผิดค่าขาดไร้อุปการะแก่โจทก์ทั้งสองหรือไม่ เพียงใด และจำเลยที่ 2 และที่ 3 ต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดค่าปลงศพ และค่าเสียหายของรถจักรยานยนต์ของผู้ตายหรือไม่ เพียงใด ซึ่งยังมิได้วินิจฉัยต่อไปตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้ศาลชั้นต้นกำหนดเมื่อมีคำพิพากษาใหม่