แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามพฤติการณ์ไม่น่าเชื่อว่าจำเลยเห็นผู้ตายเป็นผีตาโต แต่น่าเชื่อว่าจำเลยแทงผู้ตายในเวลาที่จำเลยตระหนกตกใจ จำเลยไม่ได้จงใจแทงให้ถูกที่สำคัญ จำเลยแทงเพียงทีเดียว จำเลยกับผู้ตายต่างรักใคร่กันดี จึงเชื่อได้ว่าจำเลยไม่มีเจตนาฆ่า การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยใช้มีดปลายแหลมแทงนางเกียงมารดาจำเลย ๑ ที โดยเจตนาฆ่านางเกียงถึงแก่ความตายเพราะแผลที่ถูกแทง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๘๙
ขั้นแรกจำเลยให้การว่า จำเลยเห็นมารดาเป็นผีผู้ชาย จึงแทงไปไม่มีเจตนาฆ่า ต่อมาจำเลยขอถอนคำให้การเดิมแล้วให้การใหม่รับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๙(๑) ให้ประหารชีวิต แต่จำเลยอายุ ๑๖ ปี ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก ๑๒ ปี ลดโทษตามมาตรา ๗๘ ให้อีกกึ่งหนึ่ง คงจำคุก ๖ ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา พิพากษาแก้ว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๙๐ ตอนท้าย ลดมาตราส่วนโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๗๕ คงจำคุกจำเลย ๔ ปี จำเลยรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา ๗๘ คงจำคุก ๒ ปี ให้รอการลงโทษภายใน ๓ ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๕๖, ๕๘
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยเป็นบุตรนางเกียงผู้ตาย นางเกียงมาได้นายโตเป็นสามีซึ่งมีบุตรติดมาอีก ๓ คน คืนเกิดเหตุนางดีบุตรคนหนึ่งของนายโตเกิดอาการผิดปกติ ร้องไห้บ้าง หัวเราะบ้าง พูดเพ้อเจ้อ จับใจความได้ว่าผีแซ่ของนางดีมาเข้า นางเกียงผู้ตายให้นางดีนอนหนุนตัก ส่วนนายโตนำเครื่องเส้นมาเส้นผีที่ชานเรือน พอเส้นผีเสร็จนางดีมีอาการปกติ แต่นางเกียงลุกเดินออกไป โดดจากชานเรือนสูงประมาณ ๒ ศอกลงไปในแอ่งน้ำฝน แล้วคลานอยู่ในแอ่งน้ำนั้น จำเลยพูดขอให้นายโตช่วยนางเกียงขึ้นจากแอ่งน้ำ นายโตประคองนางเกียงจะเอาขึ้นเรือน ยังห่างบันใด ๒ วา จำเลยใช้มีดปลายแหลมแทงนางเกียง ๑ ที ต่อมานางเกียงถึงแก่ความตาย ชั้นสอบสวนจำเลยให้การว่าเห็นผู้ตายเป็นผีตาโตจำเลยลืมตัวไม่รู้ว่าแทงผู้ตายไปได้อย่างไร ศาลฎีกาเห็นว่าที่จำเลยให้การชั้นสอบสวนว่า เห็นหน้าผู้ตายเป็นผีตาโตนั้น ตามพฤติการณ์ไม่น่าเชื่อว่าจำเลยจะเห็นไปได้เช่นนั้น ปราศจากคำพยานโจทก์ว่า จำเลยกับผู้ตายต่างรักใคร่กันดี จำเลยขอให้นายโตไปช่วยนำผู้ตายขึ้นเรือนก็แสดงว่าจำเลยมีความรักใคร่ห่วงใยผู้ตาย เมื่อนายโตอุ้มผู้ตายจะพาขึ้นเรือนจำเลยจึงได้แทงผู้ตาย ๑ ที แล้ววิ่งหนีไป ดูตามพฤติการณ์ดังกล่าวแล้วไม่มีเหตุที่จะคิดไปว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตาย จำเลยแทงผู้ตาย ๑ ที ในขณะที่แทงนั้นก็ควรเชื่อได้ว่าเป็นเวลาที่จำเลยตระหนกตกใจ ไม่ได้จงใจ หรืออาจจะแลเห็นได้ว่าจำเลยได้มั่นหมายที่จะแทงให้ถูกที่สำคัญ ซึ่งอาจหาให้ผู้ถูกแทงถึงแก่ความตายได้ จำเลยจึงมีความผิดฐานห่าคนตายโดยไม่เจตนา
พิพากษายืน ให้ยกฎีกาโจทก์.