คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 660/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีนี้กับคดีก่อนเป็นกรณีเดียวกันทรัพย์สินของกลางศาลพิพากษาริบแล้วในคดีก่อน โจทก์กล่าวถึงทรัพย์สินนั้นมาในฟ้องคดีนี้ให้บริบูรณ์และมิได้มีคำขออย่างใดทรัพย์สินนั้นจึงไม่ใช่ของกลางคดีนี้ดังนี้ ศาลไม่มีอำนาจที่จะพึงสั่งคืนให้จำเลยและจะสั่งคืนได้ก็ต่อเมื่อมีคำเสนอของเจ้าของขอคืนในคดีก่อนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองกับพวกซึ่งศาลพิพากษาแล้วตามคดีแดงที่ 221/2506 ร่วมกันมีไม้แปรรูปไว้ในครอบครองโดยไม่รับอนุญาต และร่วมกันนำไม้นั้นเคลื่อนที่โดยไม่มีใบเบิกทางกำกับเจ้าพนักงานจับได้ไม้ของกลางกับเกวียนไม้ 2 เล่ม วัวเทียมเกวียน 4 ตัว ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 6, 11/12, 39, 48, 70, 71, 73, 74, 74 ทวิ พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2494 มาตรา 6, 17 พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2503 มาตรา 13, 17, 18 พระราชกฤษฎีกากำหนดไม้หวงห้าม พ.ศ. 2505 มาตรา 4 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83

จำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำผิดตามฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังข้อเท็จจริงว่า เจ้าพนักงานจับกุมไม้รายนี้ขณะที่นายซาซึ่งศาลลงโทษไปแล้วในคดีแดงที่ 221/2506 และจำเลยทั้งสองนำไม้บรรทุกเกวียนมาด้วยกัน โดยนายซาหลอกจำเลยทั้งสองว่าเป็นไม้ที่มีใบอนุญาตแล้ว จำเลยรับขนไม้มาในฐานะผู้รับจ้างขนไม่ได้ร่วมกระทำผิดกับนายซาด้วยในการครอบครองไม้ แต่ปรากฏว่าเกวียนและโคของกลางตามฟ้องซึ่งศาลได้สั่งริบในคดีแดงที่ 221/2506 ไปแล้วนั้น มิเป็นของอันควรริบตามพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2503 มาตรา 18 เพิ่มเติมพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 74 ทวิ ดังนั้น แม้ศาลจะได้สั่งริบของกลางนี้ไว้ในคดีแดงที่ 221/2506 เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏขึ้นในคดีนี้ ก็จำต้องเปลี่ยนแปลงเรื่องของกลางเพื่อให้ตรงกับความเป็นจริง พิพากษายกฟ้องโจทก์ เกวียนและโคของกลางคืนแก่จำเลย นอกนั้นริบ

โจทก์อุทธรณ์ความว่า การที่ศาลชั้นต้นสั่งคืนเกวียนและโคของกลางแก่จำเลยนั้น ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 190 เพราะของกลางซึ่งเป็นพาหนะนี้ได้มีคำพิพากษาให้ริบตามคดีแดงที่ 221/2506 แล้ว ทั้งในคดีนี้โจทก์ก็มิได้ขอเรื่องของกลางมาในฟ้อง เป็นการพิพากษาเกินคำขอ

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เมื่อจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของทรัพย์ไม่ได้ร่วมกระทำผิดด้วยแล้ว จึงไม่เป็นของซึ่งควรต้องริบ และการที่ศาลชั้นต้นสั่งเช่นนี้ก็ไม่เกินคำขอ ศาลย่อมวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 186(9) พิพากษายืน

โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายต่อมาเฉพาะข้อที่ศาลอุทธรณ์สั่งคืนโคและเกวียนของกลางแก่จำเลยว่าไม่ชอบ เพราะเป็นของกลางที่ศาลพิพากษาให้ริบไปแล้วตามคดีแดงที่ 221/2506

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้กับคดีแดงที่ 221/2506 เป็นกรณีเดียวกัน แต่ฟ้องคนละคราว รายการทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานจับได้จึงเป็นรายเดียวกันทรัพย์สินเหล่านี้เป็นของกลางที่ศาลพิพากษาให้ริบไปแล้วในคดีก่อนโจทก์คงกล่าวถึงทรัพย์สินเหล่านี้มาในฟ้องคดีนี้ให้บริบูรณ์เท่านั้น หาได้นำมาอยู่ในอำนาจศาลในคดีนี้ หรือถือได้ว่าได้นำมาอยู่ในอำนาจศาลในคดีนี้แล้วแต่ประการใดไม่ ทั้งโจทก์ก็มิได้มีคำขออย่างหนึ่งอย่างใดมาด้วย ทรัพย์สินเหล่านี้จึงมิใช่ของกลางในคดีนี้อันจะพึงวินิจฉัยสั่ง ฉะนั้น ที่ศาลทั้งสองสั่งคืนเกวียนและโคของกลางในคดีแดงที่ 221/2506 ให้แก่จำเลยในคดีนี้ซึ่งฟังว่าไม่ได้ร่วมกระทำผิดด้วยจึงไม่มีอำนาจที่จะพึงสั่งเช่นนั้นได้ ศาลจะสั่งคืนให้ผู้ใดได้ก็ต่อเมื่อมีคำเสนอของเจ้าของขึ้นมาเพื่อขอคืนในคดีนั้น ดังได้กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 ที่ว่า ทรัพย์สินที่ศาลสั่งให้ริบไปแล้ว หากปรากฏในภายหลังโดยคำเสนอของเจ้าของแท้จริงว่า ผู้เป็นเจ้าของแท้จริงมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด ก็ให้ศาลสั่งให้คืนทรัพย์สิน ถ้าทรัพย์สินนั้นยังคงอยู่ในความครอบครองของเจ้าพนักงาน ดังนี้คำสั่งคืนของกลางดังกล่าวของศาลทั้งสองไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณาจึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ยืนตามศาลชั้นต้นให้คืนเกวียนและโคของกลางแก่จำเลย เป็นว่าในคดีนี้ไม่สั่งคืนของกลางนั้นแต่ประการใด นอกจากที่แก้นี้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share