คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6576/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่โจทก์นำสืบว่าส. ผู้ทำสัญญาซื้อขายที่ดินกับจำเลยเป็นตัวแทนของโจทก์เป็นกรณีตัวการซึ่งมิได้เปิดเผยชื่อกลับแสดงตนให้ปรากฏและเข้ารับเอาสัญญาที่ตัวแทนได้ทำไว้แทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา806ย่อมนำสืบได้เพราะนำสืบเรื่องความจริงที่เป็นอยู่มิได้นำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา94(ข) ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่87ตำบลเขาใหญ่อำเภอชะอำจังหวัดเพชรบุรีซึ่งตามคำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายไว้แล้วว่าได้มีการขอแบ่งแยกแล้วโดยคำขอท้ายฟ้องระบุว่าเป็นที่ดินล็อกที่3ทั้งได้แนบแผ่นที่มาท้ายฟ้องด้วยซึ่งจำเลยก็มิได้ให้การหรือนำสืบโต้แย้งอย่างใดเมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าที่ดินพิพาทได้มีการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3ก.)แล้วเป็นเลขที่1319ตำบลเขาใหญ่อำเภอชะอำจังหวัดเพชรบุรีดังนั้นการที่ศาลพิพากษาคดีโดยกล่าวถึงที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3ก.)ดังกล่าวจึงมิได้เป็นการพิจารณาเกินคำขอของโจทก์แต่อย่างใด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ได้ซื้อที่ดินจากจำเลย แต่จำเลยไม่จดทะเบียนรังวัดแบ่งแยกและโอนที่ดินให้โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนแบ่งแยกและโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 87หน้า 18 เฉพาะส่วนตามรูปแผนที่ท้ายฟ้อง ล็อกที่ 3 จากซ้ายเนื้อที่ 3 ไร่ 30 ตารางวา แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา
จำเลยให้การว่า ไม่ได้ขายที่ดินให้โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1319ตำบลเขาใหญ่ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี เนื้อที่ 3 ไร่30 ตารางวา แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียม
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่โจทก์นำสืบว่านางเสงี่ยมผู้ทำสัญญาซื้อขายที่ดินกับจำเลยตามเอกสารหมาย จ.1 เป็นตัวแทนของโจทก์ เป็นกรณีตัวการซึ่งมิได้เปิดเผยชื่อกลับแสดงตนให้ปรากฏและเข้ารับเอาสัญญาที่ตัวแทนได้ทำไว้แทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 806 ย่อมนำสืบได้ เพราะนำสืบเรื่องความจริงที่เป็นอยู่ มิได้นำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94(ข)
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนสิทธิครอบครองตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1319 ตำบลเขาใหญ่ อำเภอชะอำจังหวัดเพชรบุรี เนื้อที่ 3 ไร่ 30 วา ให้แก่โจทก์ เป็นการพิพากษาเกินคำขอของโจทก์นั้น เห็นว่า เนื่องจากที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 87ตำบลเขาใหญ่ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งตามคำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายไว้แล้วว่าได้มีการขอแบ่งแยกแล้วโดยคำขอท้ายฟ้องระบุว่าเป็นที่ดินล็อกที่ 3 ทั้งได้แนบแผนที่มาท้ายฟ้องด้วยซึ่งจำเลยก็มิได้ให้การหรือนำสืบโต้แย้งอย่างใด เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า ที่ดินพิพาทได้มีการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) แล้วเป็นเลขที่ 1319 ตำบลเขาใหญ่ อำเภอชะอำจังหวัดเพชรบุรี ดังนั้นการที่ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีโดยกล่าวถึงที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ดังกล่าวจึงมิได้เป็นการพิพากษาเกินคำขอของโจทก์แต่อย่างใด
พิพากษายืน

Share