แหล่งที่มา : ADMIN
ย่อสั้น
ถนนที่เกิดเหตุเป็นทางตรงจำเลยที่2เห็นก้อนหินขนาดใหญ่เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ12ซม.ขวางถนนอยู่ในช่องทางเดินรถของตนจำเลยที่2ได้ขับรถหลบก้อนหินเข้ามาในช่องทางเดินรถของโจทก์เพียงเล็กน้อย.คนขับรถของโจทก์เห็นรถที่จำเลยที่2ขับหลบก้อนหินเข้ามาในช่องทางเดินรถของตนแต่คนขับรถของโจทก์มิได้ชะลอความเร็วลงหรือขับรถหลบไปทางซ้ายมือซึ่งผิวจราจรหรือไหล่ถนนตรงนั้นกว้างพอที่จะแล่นหลบไปได้โดยไม่ตกถนนและรถทั้งสองคันก็จะไม่ชนกันดังนี้ถือได้ว่าความเสียหายที่เกิดจากรถยนต์สองคันชนกันนั้นเกิดจากการขับรถโดยประมาทของจำเลยที่2ไม่ใช่เหตุสุดวิสัยและคนขับรถของโจทก์ละเลยไม่บำบัดปัดป้องหรือบรรเทาความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นด้วยตามพฤติการณ์ดังกล่าวจำเลยควรรับผิดเพื่อความเสียหายสองในสามส่วนของความเสียหายที่โจทก์ได้รับ. คำวินิจฉัยชี้ขาดเรื่องเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้นั้นศาลฎีกาพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่2ซึ่งมิได้เป็นคู่ความในชั้นอุทธรณ์ฎีกาด้วย.
ย่อยาว
โจทก์ ฟ้อง ว่า จำเลย ที่ 2 ขับรถ ใน ทาง การ ที่ จ้าง ของ จำเลย ที่ 1 และ ใน ธุรกิจ ของ จำเลย ที่ 3 โดย ประมาท เป็น เหตุ ให้ ชน รถยนต์ของ โจทก์ ได้ รับ ความเสียหาย ขอ ให้ พิพากษา ให้ จำเลย ทั้ง สามร่วมกัน ใช้ ค่าเสียหาย 111,000 บาท พร้อมด้วย ดอกเบี้ย ให้ แก่ โจทก์
จำเลย ทั้ง สาม ให้การ ว่า จำเลย ที่ 2 มิได้ ขับ รถยนต์ โดย ประมาทเหตุ รถชน กัน เกิดจาก คน ขับรถ ของ โจทก์ ขับรถ ด้วย ความเร็ว สูงสวนทาง มา และ มี กองหิน อยู่ ข้างหน้า จำเลย ที่ 2 หลบ ไม่ ทัน เป็นเหตุ สุดวิสัย ค่า ซ่อมรถ โจทก์ ไม่เกิน 20,000 บาท คดี โจทก์ ขาดอายุความ จำเลย ที่ 3 มิได้ เป็น ผู้ครอบครอง และ ใช้ รถยนต์ โดยสารปรับอากาศ ตาม ฟ้อง ใน ธุรกิจ ของ จำเลย ที่ 3 หรือ ยินยอม ให้ รถดังกล่าว เข้า มา วิ่ง ร่วมกับ จำเลย ที่ 3 ขอ ให้ ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษา ให้ จำเลย ที่ 2 ชำระ เงิน 111,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย ให้ แก่ โจทก์ คำขอ ของ โจทก์ นอกจาก นี้ ให้ ยก
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ วินิจฉัย ว่า จำเลย ที่ 1 และ ที่ 3 ต้อง รับผิด ใน ผลแห่ง ละเมิด ของ จำเลย ที่ 2 โจทก์ มิได้ รับ ความเสียหาย มาก ดัง ฟ้องพิพากษา แก้ เป็น ว่า ให้ จำเลย ทั้ง สอง ร่วมกัน ชดใช้ เงิน 60,000บาท แก่ โจทก์ นอกจาก ที่ แก้ ให้ เป็น ไป ตาม คำพิพากษา ศาลชั้นต้น
โจทก์ จำเลย ที่ 1 และ จำเลย ที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า ใน ปัญหา ว่า การ ที่ รถยนต์ ตาม ฟ้อง ทั้ง สองคัน ชน กัน เกิด จาก เหตุ สุดวิสัย หรือไม่ นั้น ปรากฏ ว่า ใน ช่องเดินรถ ของ รถยนต์ โดยสาร ปรับอากาศ ตาม ฟ้อง มี ก้อนหิน โต ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ประมาณ 12 เซนติเมตร ขวาง อยู่ ก้อนหิน นี้ ด้านหนึ่งอยู่ ห่าง ขอบ ผิว จราจร ด้านซ้าย ประมาณ 1 เมตร อีก ด้านหนึ่ง ห่างเส้น กึ่งกลาง ถนน ประมาณ 2 เมตร ขณะ เกิดเหตุ เป็น เวลา 5 นาฬิกาเศษฝ่าย จำเลย ไม่ ได้ นำสืบ เลย ว่า ขณะนั้น ทัศนวิสัย ไม่ ดี เช่นหมอก ลงจัด ทำ ให้ จำเลย ที่ 2 เห็น ก้อนหิน ดังกล่าว ใน ระยะกระชั้นชิด มาก สุด ความสามารถ ที่ จำเลย ที่ 2 จะ หยุด รถ ได้ ทัน ก่อนที่ รถ จะ แล่น ถึง ก้อนหิน นั้น จึง ต้อง ตัดสินใจ หักหลบ ไป ทาง ด้านขวา เพราะ ถ้า ขับรถ ชน ก้อนหิน ดังกล่าว ก็ ดี หรือ หลบ ไป ทาง ซ้ายก็ ดี ผู้โดยสาร อาจ ได้ รับ อันตราย ดังนั้น จึง ฟัง ไม่ ได้ ว่ารถยนต์ ตาม ฟ้อง ทั้ง สอง คัน ชน กัน เพราะ เหตุ สุดวิสัย ที่ จำเลย ที่ 2 จะ ป้องกัน ได้ ปรากฏ ว่า ถนน ตรง ที่ เกิดเหตุ เป็น ทางตรง เชื่อว่านาย สมบัติ คนขับ รถยนต์ ตู้ ตาม ฟ้อง เห็น ก้อนหิน ดังกล่าว ใน ระยะไกล เท่ากับ ที่ จำเลย ที่ 2 เห็น ก้อนหิน ก้อน นี้ เป็น ก้อนหิน ขนาดใหญ่ เส้นผ่าศูนย์กลาง ยาว ประมาณ 12 เซนติเมตร ขวาง ถนน อยู่ ใน ช่องเดินรถ ของ รถยนต์ โดยสาร ปรับอากาศ ตาม ฟ้อง ด้านหนึ่ง ห่าง ขอบถนนประมาณ 1 เมตร อีก ด้านหนึ่ง ห่าง กึ่งกลาง ถนน ประมาณ 2 เมตร นายสมบัติ ย่อม คาดคิด ได้ ว่า รถยนต์ โดยสาร ตาม ฟ้อง จะ ต้อง แล่น หลบก้อนหิน ก้อนนี้ แน่ นาย อาทิตย์ พยาน โจทก์ ซึ่ง นั่ง ข้าง นาย สมบัติเบิกความ ว่า รถยนต์ โดยสาร ปรับอากาศ ตาม ฟ้อง แล่น ล้ำ เส้น กึ่งกลางถนน เข้า มา ตั้งแต่ ห่าง รถยนต์ ตู้ ตาม ฟ้อง ประมาณ 20 เมตร ปรากฏตาม ภาพถ่าย ที่ โจทก์ ส่ง ศาล ว่า ถนน ตรง ที่ เกิดเหตุ มี ไหล่ถนนกว้าง เกือบ ครึ่ง หนึ่ง ของ ผิวจราจร ทั้งหมด และ ความ สูง ของ ไหล่ถนนกับ ความสูง ของ ผิวจราจร เกือบ จะ อยู่ ใน ระดับ เดียวกัน จำเลย ที่ 2หัก หน้า รถ หลบ ก้อนหิน ล้ำ เข้า มา ใน ช่อง เดินรถ ของ รถยนต์ ตู้ตาม ฟ้อง เพียง เล็กน้อย เพราะ จุด ที่ รถยนต์ ตาม ฟ้อง ทั้ง สอง คันชน กัน อยู่ ห่าง เส้น กึ่งกลาง ถนน เพียง 1 ฟุต เท่านั้น ตาม ที่ โจทก์นำสืบ ไม่ ปรากฏ ว่า ก่อน ที่ รถยนต์ ตาม ฟ้อง ทั้ง สอง คัน ชน กันนาย สมบัติ ได้ ลด หรือ ชะลอ ความเร็ว ของ รถยนต์ ตู้ ตาม ฟ้อง ลงทั้ง ที่ ฟัง ได้ ว่า นาย สมบัติ ก็ เห็น รถ ที่ จำเลย ที่ 2 ขับหลบก้อนหิน เข้า มา ยัง ช่องทาง เดินรถ ของ ตน ศาลฎีกา ได้ พิเคราะห์สภาพ ถนน ตรง ที่ เกิดเหตุ และ จุด ที่ รถยนต์ ตาม ฟ้อง ทั้ง สอง คันชน กัน แล้ว เห็นว่า ถ้า นาย สมบัติ ลด หรือ ชะลอ ความเร็ว ของ รถยนต์ตู้ ตาม ฟ้อง ลง หรือ ขับรถ หลบ ไป ทาง ด้าน ซ้ายมือ ซึ่ง ผิวจราจร หรือไหล่ถนน ตรงนั้น กว้าง พอ ที่ จะ แล่น หลบ ไป ได้ โดย รถ ไม่ ตก ถนนรถยนต์ ตาม ฟ้อง ทั้ง สอง คัน ก็ จะ ไม่ ชน กัน ดังนั้น ข้อเท็จจริงดังกล่าว ถือ ได้ ว่า ความเสียหาย ที่ เกิดจาก รถยนต์ ตาม ฟ้อง ทั้งสอง คัน ชน กัน เกิดจาก การ ขับรถ โดย ประมาท เลินเล่อ ของ จำเลย ที่2 และ นาย สมบัติ ละเลย ไม่บำบัด ปัดป้อง หรือ บรรเทา ความเสียหาย ที่อาจ จะ เกิดขึ้น ด้วย ได้ พิเคราะห์ ถึง พฤติการณ์ ของ จำเลย ที่ 2กับ นาย สมบัติ แล้ว เห็น สมควร ให้ ฝ่าย จำเลย รับผิด เพื่อ ความเสียหาย สอง ใน สาม ส่วน ของ ความเสียหาย ที่ โจทก์ ได้ รับ ฎีกา ของจำเลย ที่ 1 และ ที่ 3 ข้อ นี้ ฟัง ขึ้น บาง ส่วน คำวินิจฉัย ชี้ขาดข้อนี้ เป็น เรื่อง เกี่ยวด้วย การ ชำระหนี้ อัน ไม่ อาจ แบ่งแยก ได้จึง ให้ มี ผล ไป ถึง จำเลย ที่ 2 ซึ่ง มิได้ เป็น คู่ความ ใน ชั้นอุทธรณ์ ฎีกา ด้วย
พิพากษา แก้ เป็น ว่า ให้ จำเลย ทั้ง สาม ร่วมกัน ชำระ ค่าสินไหม ทดแทนสอง ใน สาม ส่วน ของ เงิน 50,000 บาท ให้ แก่ โจทก์ พร้อมด้วย ดอกเบี้ย