คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 650/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ประกาศของกระทรวงการคลังซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน พ.ศ. 2523 มาตรา 3หาใช่ข้อกฎหมายอันถือเป็นเรื่องที่ศาลจะรับรู้เองได้ไม่ แต่เป็นข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งที่คู่ความมีหน้าที่ต้องนำสืบ เมื่อทางพิจารณาโจทก์ไม่สืบแสดงให้ความข้อนี้ปรากฏ ทั้งมิใช่เป็นข้อเท็จจริงที่ศาลรับรู้ได้เองแล้วเช่นนี้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยได้ถึงอัตราร้อยละ 20 ต่อปี อันเกินไปจากอัตราปกติตามที่กฎหมายกำหนดแต่การที่จำเลยตกเป็นผู้ผิดนัดในการชำระหนี้โจทก์ย่อมมีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในระหว่างเวลาผิดนัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้กู้เงินโจทก์ไปเป็นเงิน 600,000 บาทตกลงชำระดอกเบี้ยให้โจทก์ในอัตราร้อยละ 20 ต่อปี ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินต้นพร้อมทั้งดอกเบี้ยที่ค้างชำระ และชำระดอกเบี้ยในต้นเงินและอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ และไม่สืบพยาน ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละ 15 ต่อปีเป็นโมฆะ พิพากษาให้จำเลยชำระเฉพาะเงินต้นแก่โจทก์ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีคงมีปัญหาเพียงว่า อัตราดอกเบี้ยร้อยละ20 ต่อปี ที่โจทก์ฟ้องเรียกจากจำเลยตามข้อตกลงที่ระบุกันไว้ในสัญญาฉบับนี้ โจทก์มีสิทธิเรียกได้ในอัตราดังกล่าวหรือไม่
พิเคราะห์แล้ว ปรากฏข้อเท็จจริงตามทางนำสืบซึ่งโจทก์อ้างนางสาวสุนันท์ ศิลาสุวรรณ เป็นพยานปากเดียวเบิกความ ประกอบเอกสารสัญญากู้เงินหมาย จ.3 ว่า จำเลยเป็นหนี้ต้นเงินกู้โจทก์อยู่หกแสนบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 20 ต่อปี สำหรับดอกเบี้ยจำเลยได้ชำระให้แก่โจทก์บ้างแล้วเป็นบางส่วน หลังจากนั้นจำเลยก็ผิดนัดเรื่อยมาจึงจำต้องฟ้องบังคับให้จำเลยชำระต้นเงินและดอกเบี้ยที่ยังค้างชำระแก่โจทก์
จากทางนำสืบดังกล่าวจึงเห็นได้ว่าเป็นเรื่องโจทก์ยืนยันข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในเอกสารหมาย จ.3 เท่านั้น ส่วนปัญหาที่ว่า โจทก์มีสิทธิพิเศษอย่างไรจึงเรียกดอกเบี้ยได้เกินไปจากอัตราปกติตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ โจทก์หาได้อ้างอิงหลักฐานมาสืบแสดงให้ปรากฏไม่ ดังนั้นแม้ความจริงจะมีประกาศของกระทรวงการคลังให้โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยได้ในอัตราดังกล่าวตามที่โจทก์ฎีกาก็ตาม ประกาศของทางราชการในลักษณะเช่นนี้ก็หาใช่ข้อกฎหมายอันถือเป็นเรื่องที่ศาลจะรับรู้เองได้ไม่ แต่เป็นข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งที่คู่ความมีหน้าที่จะต้องนำสืบ เมื่อทางพิจารณาโจทก์ไม่สืบแสดงให้ความข้อนี้ปรากฏ ทั้งมิใช่เป็นข้อเท็จจริงที่ศาลรับรู้ได้เองแล้วเช่นนี้ คดีจึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยได้ถึงอัตราร้อยละ 20 ต่อปี อันเกินไปจากอัตราปกติตามที่กฎหมายกำหนดทั้งเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนอีกด้วยอย่างไรก็ดี การที่จำเลยตกเป็นผู้ผิดนัดในการชำระหนี้ โจทก์ย่อมมีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในระหว่างเวลาผิดนัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีแก่โจทก์ นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share