แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สองคนไปเรียกให้เขาเปิดประตู แล้วคนหนึ่งยิงเขาตายแล้วหนีไปด้วยกันฟังได้ว่าทั้งสองคนสมคบกันเป็นตัวการยิงเขาตายด้วยกัน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2495 เวลากลางคืนจำเลยทั้งสองได้บังอาจสมคบกันใช้ปืนเป็นอาวุธยิงทำร้ายร่างกายนายจันทร์ ทองเล็ก โดยเจตนาจะฆ่าให้ตาย กระสุนปืนถูกนายจันทร์มีบาดเจ็บสาหัส และได้ถึงแก่ความตายเพราะพิษบาดแผลในคืนนั้นเองเหตุเกิดตำบลสุไหงปาดี อำเภอสุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาส
จำเลยให้การปฏิเสธต่อสู้ว่า คืนเกิดเหตุจำเลยทั้งสองจะไปยิงหมูป่า จำเลยที่ 1 แวะไปเข้าซื้อเชื่อสุราจากผู้ตาย 1 ขวด ส่วนจำเลยที่ 2 ยืนอยู่นอกร้าน ผู้ตายพูดสัพยอกจำเลยที่ 1 ว่าไม่ให้เชื่อ จะเอาปืนที่จำเลยที่ 1 ถือเพื่อไปยิงหมูป่าเป็นประกัน แล้วผู้ตายดึงปืนจากจำเลยที่ 1 โดยแรง ปืนจึงได้ลั่นไปถูกผู้ตาย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว โจทก์สืบว่าคืนโจทก์หาเวลาประมาณ 23 น. นายจันทร์ผู้ตายอยู่บ้าน (เป็นร้านขายของ) กับนางกิมภริยาและเด็กหญิงเสาร์ ขณะนั้นผู้ตายปิดร้านแล้ว มีจำเลยทั้งสองนี้มาเรียกให้เปิดประตู พอนายจันทร์เปิดประตูฉายไฟฉายไป นายดำจำเลยก็ยิงด้วยปืนลูกซอง 1 นัด แล้วจำเลยทั้งสองก็หนีไป นายจันทร์ล้มลง ต่อมามีนายเบี้ยวผู้ใหญ่บ้านกับนายมุ่ยผู้ช่วยและราษฎรมาที่บ้านนายจันทร์ สอบถามนายจันทร์ว่าใครยิง นายจันทร์บอกว่านายดำกับนายปุย นายเบี้ยวได้บันทึกข้อความไว้ ครั้นเวลาเที่ยงคืนนายจันทร์ตายเพราะพิษบาดแผล คืนนั้นนายสีกำนันมาบ้านที่เกิดเหตุแล้วออกติดตามจำเลยทั้ง 2 ไม่พบตัว รุ่งขึ้นนายดำจำเลยเข้าหาเจ้าพนักงานต่อสู้คดี และต่อมาอีก 2 วัน นายปุยจำเลยก็เข้าหาเจ้าพนักงาน
จำเลยคงนำสืบตามทำนองที่ให้การต่อสู้นั้น
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า นายดำจำเลยยิงนายจันทร์ตายจริงนายปุยจำเลยซึ่งมาด้วยกันและหนีไปด้วยกันย่อมมีผิดฐานสมคบกับนายดำจำเลยด้วย พยานจำเลยไม่อาจหักล้างพยานโจทก์ได้ แต่ปรากฏว่านายจันทร์ผู้ตายเป็นคนเกะกะจำเลยได้เข้าหาเจ้าพนักงานรับว่านายจันทร์ถูกกระสุนปืนของนายดำจำเลยจริง มีประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่มากควรได้รับลดหย่อนผ่อนโทษฐานปรานี จึงพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 249 ให้จำคุกนายดำจำเลย 20 ปี นายปุยจำ15 ปี ลดโทษให้ตามมาตรา 59 หนึ่งในสาม คงจำคุกนายดำจำเลย 13 ปี 4 เดือน นายปุยจำเลย 10 ปี ของกลางริบ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกาต่อมา
ศาลฎีกาตรวจปรึกษาแล้ว ทางพิจารณาได้ความตามคำพยานโจทก์ดังที่ศาลชั้นต้นกล่าวมา โจทก์มีนางกิมภรรยานายจันทร์ผู้ตายเป็นพยานยืนยันว่า จำเลยทั้งสองนี้มาเรียกให้เปิดประตู พอนายจันทร์เปิดประตูก็เห็นจำเลยทั้งสองยืนอยู่ ทันใดนั้นนายดำจำเลยได้ใช้ปืนยาวยิงนายจันทร์ 1 นัด ถูกนายจันทร์ล้มลง พอยิงแล้วจำเลยทั้งสองก็หนีไปกับมีเด็กหญิงเสาร์ว่าจำเสียงจำเลยทั้งสองได้ แต่ไม่เห็นว่าใครยิง เกิดเหตุแล้วไม่นานก็มีนายเบี้ยวผู้ใหญ่บ้านมา นายเบี้ยวได้ถามนายจันทร์นายจันทร์บอกว่านายดำมาเรียก นายจันทร์ออกไปเอาไฟฉายส่องดู นายดำก็ยิงมีนายปุยอยู่ด้วย นายเบี้ยวให้นายมุ่ยบันทึกข้อความไว้ แต่ไม่ได้ให้นายจันทร์ลงชื่อเพราะนายจันทร์เจ็บมาก ข้อนี้โจทก์อ้างบันทึกกับสืบนายเบี้ยว นายมุ่ยประกอบนอกจากนั้นได้ความว่ารุ่งขึ้นจากคืนเกิดเหตุนายดำจำเลยได้ไปที่สถานีตำรวจ อำเภอสุไหงปาดี แจ้งกับนายร้อยตำรวจโทชาญชัย ว่าได้ใช้ปืนลูกซองยิงนายจันทร์ เนื่องจากเจ็บใจที่นายจันทร์ข่มเหงชกต่อยนายดำ นายดำจึงไปยิงเอา นายร้อยตำรวจโทชาญชัยได้บันทึกลงประจำวัน ให้นายดำเซ็นชื่อไว้เป็นหลักฐาน โจทก์สืบนายร้อยตำรวจโทชาญชัย พร้อมกับบันทึกประจำวันประกอบสนับสนุนเห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์ประกอบกันมีน้ำหนักมั่นคง ให้เชื่อได้ว่านายดำจำเลยได้ใช้ปืนยิงนายจันทร์ตายจริง โดยมีนายปุยจำเลยไปด้วย ที่นางกิมและเด็กหญิงเสาร์เบิกความแตกต่างกันบ้างก็ไม่สำคัญ เพราะจำเลยก็รับอยู่แล้วว่าได้ไปในที่เกิดเหตุจริง ที่จำเลยสู้ว่าไม่ได้เจตนายิงหากแต่ปืนลั่นไปเองเนื่องจากนายจันทร์ดึงปืนโดยแรงนั้น ไม่สมด้วยเหตุผลไม่น่าเชื่อ ดังที่ศาลทั้งสองได้ยกขึ้นวินิจฉัยไว้โดยละเอียดแล้วได้ความว่านายปุยจำเลยเป็นน้องนายดำจำเลยพฤติการณ์ที่นายดำจำเลยไปยิงผู้ตายเนื่องจากมีสาเหตุกันมา โดยมีนายปุยจำเลยร่วมไปด้วย และเมื่อยิงแล้วก็ได้หนีไปพร้อม ๆ กันดังนี้ ฟังได้ว่าจำเลยได้ร่วมสมคบกันเป็นตัวการในการกระทำผิดรายนี้ ศาลทั้งสองวินิจฉัยชี้ขาดลงโทษจำเลยทั้งสองมาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น จึงพิพากษายืน